SCGP Newsroom

SCGP จากน้องคนเล็กสู่หุ้นน่าลงทุนตัวใหม่จากค่ายเอสซีจี

ภาพของธุรกิจที่แว้บเข้ามาในความคิด เมื่อนึกถึง ‘เอสซีจี’ คือธุรกิจอะไร?

เชื่อว่าแพคเกจจิ้งคงไม่ใช่คำตอบแรกที่ติดโผเข้ามาใน Top of Mind คุณอย่างแน่นอน เพราะธุรกิจกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็นน้องคนเล็กสุดของปูนซิเมนต์ไทย จากสัดส่วนรายได้ที่คิดเป็นประมาณร้อยละ 23 ของรายได้จากการขายของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (“SCC”) ขณะที่อีกร้อยละ 77 มาจากพี่ ๆ ในครอบครัวอย่างธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง รวมถึงธุรกิจเคมิคอลส์

ทว่าเมื่อพลิกดูผลประกอบการล่าสุดของ SCC ในงวดครึ่งปีแรกของปีนี้อาจสร้างความเซอร์ไพรส์ให้ใครหลายคน เพราะธุรกิจแพคเกจจิ้งที่ดำเนินการโดย บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (“SCGP” หรือ “บริษัทฯ) กลับเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น แม้จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเกิดวิกฤตใหญ่ของโลกอย่าง COVID-19 ที่กินเวลาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เพราะสัดส่วนรายได้กว่าร้อยละ 69 ของบริษัทฯ มาจากกลุ่มสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรของ SCGP นั้นได้รับอานิสงส์ทั้งจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) และธุรกิจบริการรับส่งอาหาร (Food Delivery) ที่จำเป็นต้องใช้บรรจุภัณฑ์เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการส่งสินค้าไปยังผู้บริโภค รวมถึงสินค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัย (Healthcare) SCGP ก็ยังมีบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ จำพวกบรรจุภัณฑ์แบบคงรูปและบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวที่สามารถรองรับสินค้ากลุ่มดังกล่าวได้ เช่น หลอดเจลล้างมือ ขวดยา ฯลฯ

ปัจจุบัน SCGP มีโรงงานผลิตในฐานที่ตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ธุรกิจของ SCGP ประกอบด้วย 2 สายธุรกิจหลักคือ (1) สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) ที่มีผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย และ (2) สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) โดยร้อยละ 52 ของรายได้จากการขายมาจากการจัดจำหน่ายภายในประเทศไทย และที่เหลือมาจากการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ SCGP ยังมีลูกค้าที่อยู่ในภูมิภาคอื่น ๆ รวมทั้งสิ้นประมาณ 20 ประเทศทั่วโลก

สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งถือเป็นเมกะเทรนด์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนวิกฤตโรคระบาดนั้น SCGP ได้เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจเหล่านี้โดยเฉพาะในประเทศไทย ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศเวียดนาม และประเทศฟิลิปปินส์ สอดคล้องกับข้อมูลจาก ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน ที่จัดทำ ณ สิงหาคม 2563 ที่คาดว่าตลาดอีคอมเมิร์ซ (มูลค่าสินค้าทั้งหมด) ใน 4 ประเทศนี้จะเติบโตเฉลี่ยกว่าร้อยละ 30.4 ต่อปี ในช่วงระหว่างปี 2562-2567 เป็นที่มาที่ทำให้ SCGP เข้าไปตั้งฐานการผลิตในกลุ่มประเทศดังกล่าว

และยังมีกลยุทธ์ที่ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ SCGP เป็นธุรกิจที่มองข้ามไม่ได้คือ การควบรวมกิจการและร่วมมือทางธุรกิจ (Merger and Acquisition (M&A)) โดยล่าสุดในปี 2562 บริษัทฯ มีการลงทุนขยายธุรกิจในรูปแบบนี้กว่า 25,000 ล้านบาท

ไม่เพียงแต่การขยายธุรกิจจากภายนอก (Inorganic) อย่างการควบรวมกิจการ แต่ SCGP ยังเดินหน้าขยายธุรกิจภายใน (Organic) ไปพร้อมกัน โดยปัจจุบัน SCGP อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานเพื่อขยายกำลังการผลิตอีก 4 แห่ง ในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย ด้วยเงินลงทุนประมาณ 8,200 ล้านบาท โดยคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังปี 2563 – ประมาณกลางปี 2564

เมื่อมองผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของ SCGP พบว่าบริษัทฯ มีรายได้จากการขายเติบโตต่อเนื่องในปี 2559-2562 อยู่ที่ 74,542 ล้านบาท 81,455 ล้านบาท 87,255 ล้านบาท และ 89,070 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 6.1 ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงปี 2559-2562 อยู่ที่ 3,285 ล้านบาท 4,425 ล้านบาท 6,065 ล้านบาท และ 5,269 ล้านบาท ตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 17.0

ในส่วนผลการดำเนินงานล่าสุดช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ SCGP มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 45,903 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดย EBITDA ในครึ่งปีแรกเท่ากับ 9,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขยายกำลังการผลิตและการควบรวมกิจการในอาเซียน

สำหรับการ IPO ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ คงจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ SCGP สามารถสร้างการเติบโตและต่อยอดทางธุรกิจ เพื่อรักษาการเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรของภูมิภาค และน่าจะเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่อยู่ในเรดาร์ของนักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นเติบโตหรือ Growth Stock ที่ธุรกิจมั่นคง และมีโอกาสเติบโตควบคู่ไปกับเมกะเทรนด์ต่าง ๆ ในอนาคต

แหล่งข้อมูล
(1) รายงานการวิจัยทางการตลาดแบบอิสระของ ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน
(2) ร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนฉบับเต็มของ SCGP ซึ่งได้ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th

6 เรื่องที่ต้องรู้ ก่อนลงทุนหุ้น SCGP

บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (“SCGP” หรือ “บริษัทฯ) ถือเป็นหนึ่งใน IPO ของปี 2563 ที่น่าจับตาอย่างมาก เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตและความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจที่โดดเด่น

SCGP นั้นเป็นบริษัทในบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (“SCC”) ซึ่งไม่ได้มีเพียงผลิตภัณฑ์ซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้งอีกด้วย

ธุรกิจแพคเกจจิ้งใน SCC มีการเติบโตที่โดดเด่นมาอย่างต่อเนื่อง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะทำความรู้จักกับ SCGP ให้มากขึ้นก่อนที่เราจะเข้าไปซื้อหุ้น

เราลองมาดูภาพรวมของธุรกิจกันก่อนครับว่ามีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง

6 เรื่องต้องรู้ก่อนลงทุนหุ้น SCGP

  1. เป็นผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์ระดับอาเซียน

    SCGP เป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรขนาดใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในปี 2562 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 89,070 ล้านบาท และสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2563 รายได้จากการขายอยู่ที่ 45,903 ล้านบาท!

    โครงสร้างรายได้ของ SCGP ประกอบไปด้วย 2 สายธุรกิจหลัก

    1. สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) มีผลิตภัณฑ์หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ประกอบด้วย
      • บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ (Fiber-based Packaging)
      • กระดาษบรรจุภัณฑ์ (Packaging Paper)
      • บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ (Performance and Polymer Packaging)
    2. สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) ประกอบด้วย
      • ผลิตภัณฑ์ภาชนะบรรจุอาหาร (Food Service Products)
      • ผลิตภัณฑ์เยื่อและกระดาษ (Pulp and Paper Products)

    SCGP มีกลุ่มลูกค้าที่กระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารแช่แข็งและอาหารบรรจุกระป๋อง สินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุตสาหกรรม

    จุดเด่นของ SCGP คือการมีสินค้าและบริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนากว่าปีละ 500 ล้านบาทต่อปี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

  2. กลยุทธ์ในประเทศและต่างประเทศ

    SCGP เริ่มต้นจากการทำธุรกิจเยื่อกระดาษตั้งแต่ปี 2518 ต่อมาก็ได้ขยายธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น รวมถึงการควบรวมกิจการทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2558 ได้ปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจและพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน)

    ปัจจุบัน SCGP มีโรงงานใน 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน คือ ประเทศไทย มียอดขายภายในประเทศร้อยละ 52 และอีกร้อยละ 48 เป็นรายได้จากธุรกิจในต่างประเทศ

    SCGP มุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องผ่านการขยายกำลังการผลิต (Organic Growth) และการควบรวมกิจการ (Inorganic Growth) ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ทำให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งจากการผนึกกำลังร่วมกัน (Synergy) ที่มีประสิทธิภาพ

    • ขยายฐานลูกค้าออกไปได้กว้างมากขึ้น
    • เพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองผู้บริโภคและลูกค้าทุกอุตสาหกรรม
    • ประหยัดเวลาในการสร้างธุรกิจใหม่ สามารถรับรู้รายได้และกำไรในทันที

    และในส่วนของการเติบโตผ่านการขยายกำลังการผลิตนั้น SCGP ได้เพิ่มสัดส่วนการขายในหมวดอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตสูงตาม Mega Trend ให้มากขึ้น เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจการบริการด้านอาหาร และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

  3. โอกาสเติบโตของ SCGP

    • การเติบโตของบรรจุภัณฑ์ถือเป็น Mega Trend หนึ่งของโลก ซึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะ E-commerce, Food Delivery และ Healthcare โดยจากข้อมูลของ Frost & Sullivan พบว่ามูลค่าตลาด E-commerce (มูลค่าสินค้าทั้งหมด) ในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ ในปี 2562-2567 สามารถเติบโตได้ถึงประมาณร้อยละ 23.8 ต่อปี
    • นอกจากนี้ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ ยังมีแนวโน้มในการเติบโตของการบริโภคภาคครัวเรือนในอัตราที่สูงขึ้น โดยจากการคาดการณ์ของ Frost & Sullivan พบว่าประเทศทั้ง 4 จะมีจำนวนประชากรรวมกันมากถึง 570.6 ล้านคน ในปี 2567 รวมทั้งคาดการณ์การบริโภคในครัวเรือนทั้งหมดในประเทศดังกล่าวว่า จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 6.4 ในระหว่างปี 2562-2567 สอดคล้องกับอัตราการใช้บรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนที่คาดว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีก
    • ปัจจุบันเป็นยุคที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มใส่ใจในผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น การที่ SCGP ยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ทำให้มีการใช้ทรัพยากรและวัตถุดิบได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
  4. IPO เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจ

    การเข้า IPO จะทำให้ SCGP สามารถขยายธุรกิจได้อย่างเต็มรูปแบบมากยิ่งขึ้น ผ่านการขยายกำลังการผลิต ทั้งในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะเสริมศักยภาพให้ธุรกิจของ SCGP มีความครบวงจร และสามารถเติบโตไปกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียน

    สำหรับการ IPO นั้น หุ้นของ SCGP จะเข้ามาเป็นหุ้นจดทะเบียนในตลาด SET หมวดสินค้าอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะมีจำนวนหุ้นเพิ่มทุนคิดเป็นร้อยละ 26.5 ของจํานวนหุ้นสามัญที่ออกและชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ หลัง IPO (ไม่รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทฯ ในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

  5. ความเสี่ยง

    อุตสาหกรรมนี้ยังสามารถเติบโตตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ ทั้งนี้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงในด้านคุณภาพของสินค้าและบริการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า ความเสี่ยงคือธุรกิจต้องมีจุดเด่นทางด้านอื่นที่เหนือคู่แข่ง ซึ่ง SCGP ได้ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้น Customer-Centricity หรือการดำเนินงานโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยการพัฒนานวัตกรรมสินค้า รวมถึงบริการและโซลูชันที่ครอบคลุมและตอบโจทย์การใช้งานบรรจุภัณฑ์ซึ่งสร้างความโดดเด่นและแตกต่างไม่เหมือนใครให้แก่ลูกค้าและผู้บริโภค นอกจากนี้ SCGP ยังมีความแข็งแกร่งเรื่องช่องทางการจัดจำหน่าย นวัตกรรมสินค้าและบริการ การกระจายความเสี่ยงไปในหลายประเทศ หลายอุตสาหกรรม และหลายประเภทสินค้า ทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงเหล่านี้ลดลง

  6. ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

    ผลการดำเนินที่ผ่านมาถือว่า SCGP สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร โดยภาพรวมล่าสุดในงวดครึ่งปีแรก SCGP มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 45,903 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญก็มาจากการควบรวมกิจการและยอดขายบรรจุภัณฑ์ของกลุ่ม E-commerce, Food Delivery ผลิตภัณฑ์อาหารส่งออก สินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ

สัดส่วนรายได้

  • ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร : ร้อยละ 84.0
  • ธุรกิจเยื่อและกระดาษ : ร้อยละ 16.0

รายได้จากการขาย

  • ปี 2559 : 74,542 ลบ.
  • ปี 2560 : 81,455 ลบ.
  • ปี 2561 : 87,255 ลบ.
  • ปี 2562 : 89,070 ลบ.
  • ครึ่งปีแรก 2563 : 45,903 ลบ.

กำไรสุทธิ

  • ปี 2559 : 3,285 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 4.4)
  • ปี 2560 : 4,425 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 5.4)
  • ปี 2561 : 6,065 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 6.9)
  • ปี 2562 : 5,269 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 5.9)
  • ครึ่งปีแรก 2563 : 3,636 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 7.9)

เรามารอดูวัน IPO กันครับว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไหร่

หมายเหตุ บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำหรือแนะนำให้ซื้อ ถือหรือขายหุ้นแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=282407&lang=th
https://scgp.listedcompany.com/misc/mdna/20191231-scgp-mdna-fy2019-th.pdf
https://investor.scgpackaging.com/th

INVESTOR RELATIONS Boost Confidence via Factual Storytelling

As SCG Packaging is officially on its way into the Thai stock market, it is now preparing itself for initial public offering (IPO). At such crucial juncture, it is necessary for the firm to communicate efficiently with investors/stakeholders. The firm’s Investor Relations (IR) team, therefore, has got a big role to play. In this volume, a LOT interviews the firm’s Investor Relations Director Wachara Iamsakun and Investor Relations Associate Directors Vikorn Phongsathorn, Panadda Sukpanthavorn and Vimonmarn Krishnakalin to get to know more about their unit.

 
Investor Relations – Roles and Challenges
The IR team says the firm’s shares will be sold at IPO so as to raise fund for its business growth. In this regard, IR team is responsible for releasing accurate and complete key information such as information on SCG Packaging’s business operations, products and services, competitiveness, and potential for investors, analysts, and stakeholders to make a decision.
Major challenges for the task surround the mission to promote the right understanding among outsiders. “IR is a link between outsiders and the firm. We have to engage in two-way communications with the right balance. We communicate with both outsiders and our own staff. Information received from others must be communicated to SCG Packaging so that the firm can make improvements,” Panadda explains.
 
Knowing SCG Packaging & Understanding Investors
Vikorn says IR team focuses on “giving information in an easy-to-understand way, making listeners see the picture,” and keeping pace with trends and consumers’ changing behaviors.
“We have also customized our delivery of information to suit the needs of each target,” he reveals.
Vimonmarn adds that, “Communications with outsiders let us see the actual value of our own firm. When outsiders have questions, we will find out answers for them.”
 
Flexible & Ready for Anything
COVID-19 has changed the IR team’s way of working significantly. Team members, however, have overcome emerging obstacles on the basis of flexibility and ability to adapt fast to new circumstances.
Panadda considers flexibility, teamwork and communication skills as key factors to keep works going during COVID-19 situation.
“Everyone must be dynamic and able to work from anywhere. We may not be able to host any big events these days. But with internet and smartphones, we can organize virtual meetings,” Vikorn says.
 
Mellow Blend of Differences
All members of the IR team have abilities and knowledge useful to its mission. Although they are not similar in all aspects, their differences prove to be assets.
“Differences, when blended, are mellow,” Wachara says. Panadda, meanwhile, says her team members are open-minded, ready to take up challenges, and have positive thinking.
“Teamwork and Handle with Care makes us work so happily,” she quips.
Vikorn says the IR team looks for diversity and outgoing personality from its members too.
“Our members can come together, like different LEGO pieces, and form a formidable structure,” Wachara says.

สร้างความเชื่อมั่นด้วยบทบาท Factual Storytelling

จากการที่เอสซีจี แพคเกจจิ้ง เตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้น IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แน่นอนว่ารายละเอียดที่นักลงทุนรวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องการทราบ จำเป็นจะต้องถูกสื่อสารออกไปอย่างตอบโจทย์ นั่นคือจุดที่ทำให้ทีม Investor Relations (IR) เข้ามามีบทบาทสำคัญ a LOT เล่มนี้จึงชักชวนพี่โต้ง – วัชระ เอี่ยมสกุล Investor Relations Director ฝ้าย – วิกร พงศธร บี – ปนัดดา สุขพันธุ์ถาวรและเปิ้ล – วิมลมาลย์ กฤษณะกลิน Investor Relations Associate Director มานั่งคุยกัน ทั้งสี่จะช่วยให้เรารู้จักกับหน่วยงานนี้ดียิ่งขึ้น

 

Investor Relations – บทบาทและความท้าทาย

ทีม IR เริ่มต้นเล่าว่า การเสนอขายหุ้น IPO ก็คือการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อนำเงินของนักลงทุนที่สนใจมาขยายธุรกิจให้เติบโตในอนาคต ซึ่งภารกิจหลักของทีม IR คือการสร้างความเข้าใจและความรับผิดชอบต่อการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญบนพื้นฐานการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน แก่นักลงทุน นักวิเคราะห์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่นข้อมูลด้านการดำเนินธุรกิจ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ เป็นต้นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน

ความท้าทายของทีมคือ การสร้างความเข้าใจกับคนภายนอก “IR เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างบุคคลภายนอกกับบริษัทฯ ซึ่งโจทย์ ที่สำคัญไม่เพียงแค่เราจะสื่อสารเรื่องราวของบริษัทให้คนภายนอกเข้าใจได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นคือ การสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) นั่นทำให้ทีมต้องบาลานซ์ระหว่างคนในบริษัทกับบุคคลภายนอก เรารับฟังความคิดเห็นจากคนภายนอกและนำมาสะท้อนให้กับบริษัท เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ภายในบริษัทให้ดีขึ้นยิ่งขึ้น” บีเสริม

 

รู้จักบริษัท – เข้าใจนักลงทุน

ฝ้ายอธิบายกลยุทธ์ในการเล่าเรื่องให้น่าสนใจว่า ทีม IR นิยามวิธีการเล่าเรื่องให้บุคคลภายนอกรู้จักบริษัทเราว่าจะต้อง “เล่าให้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่าย” เพื่อให้ทันกับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เล่าเรื่องให้น่าสนใจคืออะไร? “เหมือนเวลาเราไปตัดสูททุกตัวจะไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกัน เวลาที่เรา Customize ตัวกล่องให้กับลูกค้า ทุกกล่องทุกแบบก็จะไม่เหมือนกันแล้วแต่ความต้องการของลูกค้า”

ประเด็นเดียวกันนี้ เปิ้ลเสริมว่า “กลยุทธ์ในการสื่อสารกับบุคคลภายนอก ท้ายที่สุดแล้วจะสะท้อนให้เห็นมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ทีม IR เป็นคนนำโจทย์ที่คนภายนอกอยากรู้มาหาคำตอบเพื่อสื่อสารกลับออกไปซึ่งเขาจะสามารถสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้”

ยืดหยุ่น รับทุกสถานการณ์

จากสถานการณ์ช่วงโควิด-19 แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการทำงานไปพอสมควร แต่ทีมมองข้ามอุปสรรคหรือข้อจำกัดที่เกิดขึ้นและเดินหน้าต่อไปเพราะทุกคนสามารถทำงานได้ทุกที่ มีความยืดหยุ่นสูง และปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

บีแชร์เรื่องการปรับตัวว่า สิ่งสำคัญคือ Flexibility และ Teamwork รวมถึงเรื่องการสื่อสารสถานการณ์วิกฤติเข้ามาเป็นตัวเร่งให้ทุกอย่างเปลี่ยนการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์จึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง

“ทุกคนต้องมี Dynamic และสามารถทำงานได้ทุกที่ เพราะปัจจุบันมีทั้งสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตที่ช่วยสร้างความสะดวก ความท้าทายคือเราพยายามปรับเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่น งานอีเว้นต์ใหญ่ ๆ ที่ยังไม่สามารถทำได้ ก็ปรับมาใช้รูปแบบ Virtual Meeting มากขึ้น” ฝ้ายเสริม

แตกต่างอย่างกลมกล่อม

“ความแตกต่าง เมื่อมารวมกันมันอร่อยกลมกล่อมขึ้น” พี่โต้งกล่าว นอกจากความรู้ความสามารถเฉพาะตัวของทุกคนในทีมจะเอื้อประโยชน์ต่อการทำงานแล้ว คุณสมบัติที่แตกต่างกันของพวกเขายังเป็นตัวขับเคลื่อนให้ทีมทำงานได้อย่างราบรื่นอีกด้วย

บีเสริม “จุดเด่นของเราคือการ Open and Challenge หรือการเปิดใจ รวมถึง Positive Thinking ด้วย ไม่ใช่โลกสวยนะ แต่มองโลกตามความเป็นจริง ทั้งยังมีเรื่องของ Teamwork และ Handle with Care ที่ช่วยให้เราทำงานกันอย่างมีความสุข”

ฝ้ายเพิ่มเติมในเรื่องของคนว่า ลักษณะทั่วไปของคนที่ทีมมองหาต้องเป็นคนที่ Outgoing และยินดีที่จะ Engage คนใหม่ ๆ จุดสำคัญคือทีมต้องมี Diversity เพราะจะช่วยสร้าง Dynamic ที่ดี

“ทุกคนช่วยเสริมกัน เหมือนสร้างบ้านด้วยเลโก้ แต่ละชิ้นไม่เหมือนกันแต่พอมารวมกันมันกลายเป็นบ้านครับ” พี่โต้งปิดท้าย

SCGP x Lotus Support Shoppers to Bring Paper Boxes back for Recycling, Aiming to Install 220 Drop Points in every Lotus Branch All over the Country

SCGP x Lotus

Support Shoppers to Bring Paper Boxes back for Recycling,

Aiming to Install 220 Drop Points in every Lotus Branch All over the Country

In the new normal in which shopping online becomes a lifestyle, a number of online-shopping goods are sent out to customers daily.  After delivery, many used carton boxes were left as garbage. Although some consumers are environmentally concerned and realize how important it is to recycle the carton boxes to maximize the use of materials, there are not many drop points for this purpose and the available ones are not at the convenient locations. In the end, those boxes were disposed with other wastes.

To tackle the problem, SCGP, represented by Mr. Jirasak Kaewubol Director – Recycling Business, joins hands with Lotus led by Mrs. Salinla Seehaphan, Corporate Affairs Director, in the project to install a drop point at every branch of Lotus in Thailand. The boxes will then be recycled and processed into new paper boxes. We carry on the consumer’s good intention and jointly build a sustainable waste management system in accordance with the Circular Economy principles.

SCGP increases investment in Visy Packaging due to demand rise Boosting capacity by 347 million pieces, to be completed year-end

SCGP is expanding Visy Packagings production capacity of high Performance and Polymer Packaging by 15-20% or more than 347 million pieces a year in response to increasing demands in Thailand and abroad. Full operation is expected later this year.

Mr. Wichan Jitpukdee, Chief Executive Officer, SCG Packaging Public Company Limited, SCGP, reveals that the Company is in the process of ratcheting up production capacity of Performance and Polymer Packaging (PPP) of Visy Packaging (Thailand) Limited or Visy to meet increasing demands for packaging in Thailand and abroad.                       

Anticipating that increasing demands will spur future growth, the Company is investing Baht 510 million , a new production line #7 including related automatic warehouse is currently under constructionVisys capacity will increase by 347 million pieces or 1520%, depending upon the product mix at any given period. Currently the machine has commercially started up while the new automated warehouse is expected to complete at the end of 2021.                 

Visy is 80% owned by SCGP Rigid Plastics Co., Ltd., which is a 100%-owned subsidiary of SCGP. The acquisition of Visy shares was completed in August 2019 as a Merger and Partnership (M&P) subsidiary, which has continued to operate at full capacity since.                      

Visy Thailand is Asia’s leading producer of thermoformed barrier food packaging and related technology such as high-quality fruit cups, pet food and human food trays, jars, etc. by serving established global brand owners that require high quality packaging for food preservation, light weight, shelf-life extension, and recyclable. Majority of its sales revenue in 2020 were direct and indirect exports to developed markets, for example the United States and European markets. Since the consolidation, Visy Thailand has been operating at its full capacity producing 1,750 million pieces a year, supported by consumers trends such as higher middle-class income, smaller households, and convenience and healthier lifestyle. Its products can also be used as an alternative packaging for aluminum, tin cans and glass jar.

Furthermore, Visys products have been used as replacements for other packaging products and thus become viable alternative packaging products for consumers, leading to increased uses.

SCGP จับมือ Lotus ชวนลูกค้าขาช้อปนำกล่องและกระดาษกลับมารีไซเคิล

SCGP x Lotus ชวนลูกค้าขาช้อปนำกล่องและกระดาษกลับมารีไซเคิล
ตั้งเป้าขยาย Drop point 220 สาขาทั่วประเทศ

 

“พฤติกรรมผู้บริโภค” กับการ “ชอปออนไลน์” ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ผลักดันให้ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นไลฟ์สไตล์ปกติในยุค New Normal เมื่อพัสดุส่งมาถึงมือผู้รับ บรรจุภัณฑ์ที่ทำหน้าที่ปกป้อง และขนส่ง ก็หมดหน้าที่ และกลายเป็นวัสดุเหลือใช้ แม้ว่าผู้บริโภคจะมีใจรักษ์โลก อยากส่งกลับไปรีไซเคิลเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า แต่ไม่รู้จะส่งไปที่ไหน หรือไม่ได้รับความสะดวก จนเปลี่ยนใจทิ้งรวมกับขยะประเภทอื่นไปในที่สุด

SCGP จึงร่วมมือกับ Lotus พันธมิตรหัวใจสีเขียววาง Drop point ที่ Lotus ทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อเป็นจุดรับและจัดเก็บกล่องและกระดาษกลับสู่กระบวนการรีไซเคิล 100% สานต่อความตั้งใจของผู้บริโภคที่เห็นคุณค่า และอยากสร้างระบบการจัดการวัสดุเหลือใช้อย่างยั่งยืนตามหลัก Circular Economy

SCGP รับมอบใบรับรองระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ

นายแสงชัย วิริยะอำไพวงศ์ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กิจการกระดาษบรรจุภัณฑ์ SCGP และกรรมการผู้จัดการ บริษัทสยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด รับมอบใบรับรองระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (ISO 22301:2019 Business Continuity Management System) จากนางพรรณี อังศุสิงห์ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม (สรอ.) หรือ MASCI โดยมีคณะผู้บริหารทั้ง 2 องค์กร ร่วมแสดงความยินดี เมื่อเร็ว ๆ นี้

Fest Chill : The Right Choice for Food Deliveries

Today, food-delivery platforms have enjoyed growing popularity as consumers appreciate the convenience of having food sent to their place. It can be said that food-delivery businesses have now been booming.

As a leader of food safety packaging business, Fest has developed “Fest Chill” as a solution to restaurants and food-delivery operators that care about hygiene,safety and environmental friendliness.

Fest Chill is made of eucalyptus pulp from commercial afforestation. It comes with high strength and hot food containable up to 130 degrees Celsius, suitable for all kinds of food. It is not only hygienic but also environmentally friendly, which makes it good for consumers, business and environment as well.

 

  • Fest Chill can be chilled at a temperature of up to five degrees Celsius.
  • For disposal, it is very easy to remove film from Fest Chill box.
  • Fest Chill is microwavable at a maximum of 800 Watts for 3 minutes.
  • Plastic film is recyclable.
  • Other parts of Fest Chill package are biodegradable on their own within 60 days.
  • Fest Chill strong structure is suitable for food deliveries.

 

Fest Chill Food Safety Packaging is available at Fest Shop, SCG headquarters in Bangsue area or www.festforfood.com

For more information, please browse to www.facebook.com/fest,

LINE @festforfood or contact call center 0-2586-1000.

Unlimited Solutions through Innovative Mindset

Innovative mindset encourages learning and efforts to develop solutions. Thanks to such a mindset, great innovations like DOM (Detect Odor & Monitoring) have been created. Designed

to detect odor at industrial plants, SCGP’s DOM has won the National Innovation Award in

Service Design category this year.

 

Now, let’s hear directly from the DOM team about its truly innovative mindset.

 

“We believe DOM will support smooth business operations. In the past, odor problems had often been issues between factories and communities and there was no efficient device to check the odor. Our DOM has great accuracy. So, the device will detect odor even before it becomes

an issue.

 

“Our innovation responds to not just business purposes but also social and environmental care. It materializes because of our innovative mindset. We understand problems and seek to overcome any challenges in our keen pursuit of solutions. Innovative mindset will help any innovator. As for our team, we intend to constantly improve our DOM so that it becomes widely used for good

causes.”

 

Dr. Thipnakarin Boonfueng – Senior Researcher /

Environmental Technology Specialist, Product & Technology Development Center

 

“We started developing DOM because of odor at our plant.

 

“Aware of the odor, our plant had used various odor-detection products before but they had failed to completely eradicate the problem. However, our comprehensive research and serious development have made a difference. Our DOM can detect odor, monitor it, and even assess its impacts.

 

“One big challenge in DOM development is that factories have different kinds of odor. To ensure efficiency, we study the problem case by case. We adapt and adjust fast to provide each of our

customers with the best DOM.”

 

 

Mr. Wuttinan Lerkmangkor – Researcher,

Product & Technology Development Center