SCGP Newsroom

SCGP ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนกำลังจะเข้าตลาดหุ้น

SCGP หรือ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) คือ บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ใน SCG หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจปูนซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้ง ซึ่ง SCGP คือส่วนธุรกิจแพคเกจจิ้งที่กำลังจะเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นนั่นเอง

SCGP ประกอบธุรกิจใน 2 ส่วนหลัก ได้แก่

1) สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain)
บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ (Fiber-based Packaging) เช่น กล่องลูกฟูก และกล่องพิมพ์สีเพื่อการแสดงสินค้า กระดาษบรรจุภัณฑ์ (Packaging Paper) เช่น กระดาษบรรจุภัณฑ์ลูกฟูก กระดาษกล่องขาวเคลือบ และบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ (Performance and Polymer Packaging) ที่นำเสนอบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวและบรรจุภัณฑ์แบบคงรูปเจาะกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว (Fast Moving Consumer Goods หรือ “FMCG”) ทั้งนี้ รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 84 ของรายได้จากการขาย

2) สายธุรกิจเยื่อกระดาษ (Fibrous Chain)
บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภาชนะบรรจุอาหาร (Food Service Products) จากแบรนด์ ‘เฟสท์’ เช่น หลอด ถ้วย ภาชนะบรรจุอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์เยื่อและกระดาษ (Pulp and Paper Products) เช่น กระดาษถ่ายเอกสารแบรนด์ ‘ไอเดีย’ กระดาษกราฟิก ฯลฯ ทั้งนี้ รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 16 ของรายได้จากการขาย

จุดเด่นของ SCGP อยู่ที่ความครบวงจร
ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ของ SCGP สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้า รวมถึงผู้บริโภคได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมสินค้า FMCG อาหารและเครื่องดื่ม สุขอนามัย ไปจนถึงกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยแบรนด์ของ SCGP เองก็ได้รับการยอมรับในอาเซียน มีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องอย่างกลุ่มธุรกิจภาชนะบรรจุอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นเทรนด์ขึ้นมาเรื่อย ๆ SCGP ก็จับเทรนด์ได้ดีและแสวงหาการเติบโตใหม่ ๆ อยู่เสมอ

การลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถก็เป็นเรื่องสำคัญ
ในปี 2562 SCGP มีการลงทุนขยายกำลังการผลิต พัฒนาจุดแข็งในการดำเนินงาน และการขยายธุรกิจด้วยการควบรวมกิจการในภูมิภาค ด้วยเงินลงทุนรวมกว่า 25,000 ล้านบาท ตรงนี้อาจจะเรียกว่าเป็นอีกจุดแข็งหนึ่งของบริษัทฯ ก็ว่าได้ นอกจากนี้ SCGP เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศและภูมิภาค ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานและรักษาคุณภาพจนได้รับการยอมรับ สามารถขยายขีดความสามารถได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่การทุ่มงบวิจัยและพัฒนา รวมไปถึงควบรวมกิจการต่าง ๆ SCGP จึงคงสถานะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์

กลยุทธ์ของ SCGP
บริษัทฯ วางตัวเป็นคู่คิดให้ลูกค้า โดยใช้การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ครบวงจรเป็นตัวช่วย สะดวกสำหรับลูกค้าที่ต้องการคำตอบในที่เดียว โดยมุ่งเน้นการตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลายตามความต้องการ ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์สำหรับลูกค้ารายย่อย บรรจุภัณฑ์ที่มุ่งเน้นความสะดวกในการใช้งาน นวัตกรรบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับกลุ่มลูกค้า e-commerce และบรรจุภัณฑ์ส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาด

นอกจากนี้ SCGP ยังเน้นการดำเนินธุรกิจแบบ B2B2C เพราะสัดส่วนเกือบร้อยละ 70 ของรายได้จากการขายมาจากลูกค้าอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บริษัทฯ คิดค้นพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ โดยคำนึงถึงการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำมาพิจารณานั่นเอง

เศรษฐกิจหมุนเวียน
เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy คือ หลักในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดย SCGP ก็มุ่งเน้นในการสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ใช้งานง่าย น้ำหนักเบา แข็งแรง สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยสัดส่วนกว่าร้อยละ 95 ของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตกล่องกระดาษในปัจจุบัน มาจากกระดาษรีไซเคิล

หมายเหตุ:
(1) คำนวณเป็นร้อยละของรายได้รวมจากการขายของบริษัทฯ
(2) ข้อมูลตามส่วนงานแต่ละส่วนของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรนำมาจากข้อมูลทางการเงินสำหรับผู้บริหารที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบหรือสอบทานจากผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ
(3) สุทธิจากการตัดรายการระหว่างสายธุรกิจ

ภาพรวมผลดำเนินงาน
SCGP มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 45,903 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

จากงบการเงินพบว่า รายได้งวดครึ่งปีแรกของปี 2563 มีแนวโน้มที่เติบโตเช่นเดียวกับกำไรสุทธิ ซึ่งเป็นผลจากยอดขายบรรจุภัณฑ์สำหรับอีคอมเมิร์ซ ฟู้ดเดลิเวอรี่ ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารส่งออก สินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพที่เติบโตอย่างมาก จากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 และมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ผู้บริโภคต่างใช้ชีวิตแบบ New Normal และทำกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ และให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัยมากขึ้นด้วย

SCGP กำลังจะเข้าตลาดหุ้น
SCGP มีแผนจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากที่เคยมี SCC เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ประมาณร้อยละ 99.0 ก่อนมีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยบริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นการทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยจะมีประชาชนทั่วไปเข้ามาถือหุ้นสูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 หลังระดมทุนแล้ว

SCGP ตั้งเป้าเติบโตทั้ง organic และ inorganic
บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืม รวมไปถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ภาพแน่นอนข้อหนึ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคือการลดลงของภาระหนี้สินและดอกเบี้ยจ่ายที่จะช่วยให้ SCGP แข็งแกร่งขึ้นอีก

โดย SCGP มีโครงการลงทุนขยายกำลังการผลิตมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 8.2 พันล้านบาทที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 คือโครงการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ ในประเทศอินโดนีเซียและประเทศฟิลิปปินส์ โครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวที่ประเทศเวียดนามและประเทศไทย

บริษัทฯ ตั้งเป้าจะขยายส่วนงานธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง เช่น กลุ่มอาหาร FMCG และอีคอมเมิร์ซ และนำรูปแบบการทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในไทยไปใช้ต่อต่างประเทศ เพื่อขยายขนาดตลาด กลุ่มลูกค้า และโอกาสในการเติบโต ปรับปรุงประสิทธิภาพและกำลังการผลิต ไปจนถึงมองหาโอกาสควบรวมกิจการ การระดมทุนครั้งนี้น่าจะกลายเป็นจุดหมายสำคัญในการเติบโต

SCGP น่าจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับแรงเสริมจากการเติบโตของเมกะเทรนด์ ทั้งอีคอมเมิร์ซ ฟู้ดเดลิเวอรี่ ไปจนถึงกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ

สำหรับใครที่รอคอยและตามหาหุ้นแบบนี้ อย่าลืมไปแกะกัน! เข้าไปอ่านแบบ filing ฉบับเต็มได้ที่
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=282407&lang=th

สรุปหุ้น IPO SCGP

ถ้าพูดถึงหุ้นใหญ่เมืองไทยที่ทุกคนรู้จักกันดีคงมีชื่อของหุ้นเอสซีจี หรือ SCC ที่สร้างผลกำไรให้นักลงทุนมากมายหลายปีที่ผ่านมา วันนี้ต้องบอกว่าพี่ปูนใหญ่กลับมาแล้ว! แต่รอบนี้เป็นการนำบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจบรรจุภัณฑ์มาเข้าตลาดหุ้นภายใต้ชื่อ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (“SCGP”) เพื่อระดมทุนไปรองรับแผนการเติบโตแบบ Organic ด้วยการขยายและปรับปรุงประสิทธิภาพสายการผลิต และมีแผนแบบ Inorganic ผ่านการควบรวมกิจการทั้งในและต่างประเทศ

หุ้นตัวนี้มีความดีงามที่น่าสนใจหลายอย่างเช่น เป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน แถมธุรกิจของ SCGP ก็กำลังเติบโตตามเทรนด์ผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของออนไลน์ (E-Commerce) และธุรกิจรับส่งอาหาร (Food Delivery) บอกได้เลยว่าจะเป็น IPO แห่งปีที่น่าจับตามองแน่นอน ส่วนรายละเอียดของตัวธุรกิจน่าสนใจแค่ไหน ผมสรุปมาให้แล้วครับ

หุ้นกำลังจะเข้าตลาดแล้ว ช่วงนี้ผลตอบแทนดี ๆ หลายตัว ไม่ศึกษาเตรียมไว้ ถ้าพลาดแล้วห้ามบ่นว่า ”เสียดาย” นะครับ 🙂

แว้บแรกที่ดูหุ้น SCGP หุ้นตัวนี้มีความน่าสนใจอยู่ประมาณ 3-4 ประเด็นด้วยกันครับ

  1. เป็นผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย และอีกหลาย ๆ ประเทศในอาเซียน ตรงนี้น่าสนใจเพราะการแข่งขันช่วงนี้แข่งกันดุเดือด ซึ่ง SCGP ถือเป็นรายใหญ่ จึงมีความแข็งแกร่งค่อนข้างมาก
  2. เป็นหุ้นที่เติบโตไปพร้อมกับเทรนด์การบริโภคและช้อปปิ้งออนไลน์ของอาเซียน ผมเองสังเกตเห็นว่าช่วงหลัง ๆ ที่ผ่านมา คนสั่งของออนไลน์กันเยอะมาก การใช้แพคเกจจิ้งก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หุ้น SCGP น่าจะได้รับแรงหนุน ประกอบกับการมี R&D ที่แข็งแกร่ง ก็จะยิ่งช่วยเสริมเกิดการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
  3. รายได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและอุตสาหกรรมยังมีช่องว่างให้เติบโตอยู่ โดย SCGP มีแผนการเติบโตแบบ Organic ด้วยการขยายและปรับปรุงประสิทธิภาพสายการผลิต และแผนแบบ Inorganic ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรที่น่าสนใจในการขยายธุรกิจ
  4. SCGP ทำการตลาดในอาเซียนและมีการส่งออกมากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก นับได้ว่าเป็นหุ้นที่มีส่วนแบ่งรายได้จากตลาดในต่างประเทศประมาณครึ่งหนึ่ง ใครอยากไปต่างประเทศแต่ไม่อยากซื้อหุ้นต่างประเทศ ซื้อ SCGP ก็ทำให้ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของต่างประเทศได้ครับ

ชื่อ SCGP นี่ก็ไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะบริษัทนี้ถือเป็นบริษัทย่อยของปูนซิเมนต์ไทย (SCC) นี่เอง ปัจจุบัน SCC ถือหุ้นประมาณ 99% แต่หลังจาก IPO เข้าตลาดแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของ SCC จะเหลือราว ๆ ไม่น้อยกว่า 70%

แต่ SCC ก็ยังมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ ดังนั้น การซื้อหุ้น SCGP ก็เหมือนการได้ร่วมทุนกับปูนใหญ่ไปกลาย ๆ

โดยตัวธุรกิจหลัก ๆ ของ SCGP เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยผลิตตั้งแต่กระดาษที่เอาไปทำบรรจุภัณฑ์, กล่องที่ใช้ในอุตสาหกรรม บรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงสินค้านวัตกรรมต่าง ๆ

สัดส่วนของธุรกิจแบ่งตามรายได้ ประกอบด้วย สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ

สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรมีสัดส่วนรวม 84% ของรายได้จากการขาย (ข้อมูลงวดครึ่งปีแรกของปี 2563) ถือเป็นธุรกิจหลักของ SCGP เลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้รายได้แบ่งแยกย่อยเป็น 3 ประเภทคือ ….
1.บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ 25%
2.กระดาษสำหรับใช้ทำบรรจุภัณฑ์ 51%
3.บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ 8%

สายธุรกิจเยื่อและกระดาษมีสัดส่วน 16% ของรายได้จากการขายทั้งหมด

มองผ่านตัวเลขอาจจะเข้าใจได้ไม่หมด ผมทำรูปตัวอย่างมาให้ดูกันชัด ๆ ครับว่าหน้าตาสินค้าแต่ละหมวดเป็นอย่างไรบ้าง?

จากภาพนี้ จะเห็นว่าบรรจุภัณฑ์ของ SCGP มีหลากหลายรูปแบบมาก ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม

Highlight ที่น่าสนใจของบรรจุภัณฑ์ของ SCGP คือหมวดบรรจุภัณฑ์สมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ที่มีโอกาสการเติบโตสูงเพราะเป็นบรรจุภัณฑ์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค

นอกจากนั้น SCGP ยังผลิตสินค้าจำพวกกล่องอาหาร และถาดใส่อาหารต่าง ๆ ดังนั้น SCGP จึงมีโอกาสเติบโตของการสั่งอาหารผ่าน Food Delivery มากขึ้นด้วยครับ

ดังนั้น พอบรรจุภัณฑ์ที่ SCGP ขายมีความหลากหลาย ลูกค้าที่มาซื้อก็มีความหลากหลายตามไปด้วย ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทคือกลุ่ม Consumer Goods ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 69% ส่วนที่เหลืออีก 31% เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมและอื่น ๆ

บริษัทที่เป็นลูกค้าของ SCGP ก็เช่น บริษัทแฟชั่นกีฬา, ผู้ผลิตอาหารแช่แข็งและผลไม้กระป๋อง, ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและสุขอนามัย, เครื่องปรับอากาศ, อาหารสำเร็จรูป ฯลฯ

ลูกค้าของ SCGP กระจายอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ดังนั้น ทำให้ความเสี่ยงของ SCGP ลดลงด้วย เพราะไม่ต้องพึ่งพิงอยู่กับอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งมากจนเกินไป

SCGP ดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง การเติบโตของรายได้ก็ถือว่าอยู่ในระดับดีทีเดียว สำหรับบริษัทที่มีรายได้ระดับเกือบ ๆ แสนล้าน ดูในรูปจะเห็นว่ารายได้ปีล่าสุดมีการเติบโตมาราว ๆ 2% แต่กำไรลดลงเล็กน้อย จริง ๆ มันมีสาเหตุอยู่ครับ

เพราะในไตรมาส 3 ปี 2562 SCGP มีการควบรวมบริษัทบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียและในประเทศไทยมา 2 ราย ทำให้รายได้เข้ามาไม่เต็มปี นอกจากนั้นปี 2562 สินค้าหมวดเยื่อและกระดาษมีราคาขายที่ปรับลดลง ถัว ๆ กันไปกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่มากขึ้นออกมาเป็นการเติบโตเล็กน้อยที่ 2%

อัตรากำไรขั้นต้นของ SCGP ก็ลดลงในทิศทางเดียวกันคือลดจาก 20.8% ในปี 2561 มาเหลือ 19.6% ในปี 2562 ด้วยสาเหตุเดียวกันกับที่กล่าวไปข้างต้น

ส่วนล่าสุด ภาพรวมครึ่งปีแรกของปีนี้ SCGP มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 45,903 ล้านบาท เติบโต 11% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิ 3,636 ล้านบาท เติบโต 40% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

แล้วบริษัทมีแผนในการสร้างการเติบโตให้กลับมาอย่างรวดเร็วอย่างไรบ้าง?

SCGP มีแผนหลัก ๆ อยู่ 2 แผนด้วยกันคือ การเพิ่มกำลังการผลิตให้กับสินค้าที่เติบโตและการควบรวมซึ่งจะทำให้ SCGP ได้กำไรทันที

SSCGP ยังมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตให้กับบริษัทโดยรวมได้ที่ 15.7%

Sส่วนการเพิ่มกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อ่อนตัว (พวกซอง ๆ ทั้งหลาย) SCGP มีแผนในการเพิ่มกำลังการผลิตให้โรงงานในประเทศไทยและเวียดนาม

Sที่จำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตเพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตเดิมของโรงงานเริ่มเต็มนั่นเอง

ถามว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้บริษัทมั่นใจได้ว่าเพิ่มกำลังการผลิตมาแล้วสินค้าจะยังขายได้? ปัจจัยนั้นคือเรื่องการเติบโตของตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน จากรูปจะเห็นว่าแต่ละประเทศมีการเติบโตของการบริโภคบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ 5.3-7.2% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย

ประเทศไทยโต 5.3%
ประเทศอินโดนีเซียโต 5.5%
ประเทศเวียดนามโต 5.6%
ประเทศฟิลิปปินส์โต 7.2%

อย่างไรก็ตาม ในฐานะของนักลงทุนก็ไม่ควรมองที่โอกาสในการทำกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ก็ต้องมองความเสี่ยงไว้ด้วยซึ่ง SCGP มีความเสี่ยงที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวหลายอย่างเช่น

  1. เรื่องการจัดหาวัตถุดิบให้เพียงพอต่อความต้องการของบริษัทที่มีการไปตั้งโรงงานไว้ในหลายประเทศ
  2. เนื่องจากธุรกิจของ SCGP เป็นกระดาษซึ่งมีวัตถุดิบตั้งต้นมาจากเยื่อไม้และกระดาษรีไซเคิล ดังนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องทำตามกฎหมายของแต่ละประเทศ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงขึ้นได้ในกรณีที่ประเทศนั้น ๆ ไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง และอาจมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
  3. กระดาษพิมพ์เขียนเป็นสินค้าที่มีโอกาสถูก Disruption สูง แม้ปัจจุบันจะเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ทั้งในเชิงการเรียน และการส่งของต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลเสียกับบริษัทได้

แม้ความเสี่ยงจะมีอยู่บ้างแต่ด้วยศักยภาพของ SCGP และฐานะความเป็นผู้นำตลาด บริษัทฯ มีการติดตามความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง และสามารถปรับไลน์การผลิตไปสู่สินค้าที่มีอนาคตดีกว่าได้

สุดท้ายถ้าอยากซื้อหุ้นร่วมทุนทำธุรกิจกับ SCGP ที่มีปูนใหญ่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ รายละเอียดที่นักลงทุนจำเป็นต้องรู้มีดังต่อไปนี้ครับ …

  1. เงินปันผล ! บริษัทมีแผนที่จะจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 20% ของกำไรสุทธิ ซึ่งส่วนตัวผมถือว่ามันไม่มาก แต่ก็พอเข้าใจได้เพราะบริษัทต้องใช้เงินในการขยายกำลังการผลิต รวมไปถึงการซื้อกิจการ
  2. การซื้อหุ้น SCGP ถือเป็นการลงทุนในหุ้นที่มีสถานะธุรกิจเป็นผู้นำในหลาย ๆ ประเทศ ความแข็งแกร่ง และการเติบโตนับว่าคาดหวังได้
  3. ขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปในสัดส่วนสูงสุดไม่เกิน 29.3% (ภายใต้สมมติฐานว่าจะมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนส่วนเกินทั้งจำนวน) ถือว่าไม่มากไม่น้อย เป็นระดับปกติที่บริษัทมั่นใจได้หุ้นจะซื้อง่ายขายคล่องในตลาด

SCGP ถือว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจเพชรเม็ดงามของเอสซีจี เข้าตลาดมาคงเป็นที่ติดตามของนักลงทุนทั้งรายย่อยและรายใหญ่ ส่วนใครอยากจะเข้าไปซื้อ ก็ขอให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก Filing ตัวเต็มได้ครับ

ขอให้โชคดีมีกำไรกันทุกคนมีความสุขกับการลงทุนครับ

INVESTOR RELATIONS Boost Confidence via Factual Storytelling

As SCG Packaging is officially on its way into the Thai stock market, it is now preparing itself for initial public offering (IPO). At such crucial juncture, it is necessary for the firm to communicate efficiently with investors/stakeholders. The firm’s Investor Relations (IR) team, therefore, has got a big role to play. In this volume, a LOT interviews the firm’s Investor Relations Director Wachara Iamsakun and Investor Relations Associate Directors Vikorn Phongsathorn, Panadda Sukpanthavorn and Vimonmarn Krishnakalin to get to know more about their unit.

 
Investor Relations – Roles and Challenges
The IR team says the firm’s shares will be sold at IPO so as to raise fund for its business growth. In this regard, IR team is responsible for releasing accurate and complete key information such as information on SCG Packaging’s business operations, products and services, competitiveness, and potential for investors, analysts, and stakeholders to make a decision.
Major challenges for the task surround the mission to promote the right understanding among outsiders. “IR is a link between outsiders and the firm. We have to engage in two-way communications with the right balance. We communicate with both outsiders and our own staff. Information received from others must be communicated to SCG Packaging so that the firm can make improvements,” Panadda explains.
 
Knowing SCG Packaging & Understanding Investors
Vikorn says IR team focuses on “giving information in an easy-to-understand way, making listeners see the picture,” and keeping pace with trends and consumers’ changing behaviors.
“We have also customized our delivery of information to suit the needs of each target,” he reveals.
Vimonmarn adds that, “Communications with outsiders let us see the actual value of our own firm. When outsiders have questions, we will find out answers for them.”
 
Flexible & Ready for Anything
COVID-19 has changed the IR team’s way of working significantly. Team members, however, have overcome emerging obstacles on the basis of flexibility and ability to adapt fast to new circumstances.
Panadda considers flexibility, teamwork and communication skills as key factors to keep works going during COVID-19 situation.
“Everyone must be dynamic and able to work from anywhere. We may not be able to host any big events these days. But with internet and smartphones, we can organize virtual meetings,” Vikorn says.
 
Mellow Blend of Differences
All members of the IR team have abilities and knowledge useful to its mission. Although they are not similar in all aspects, their differences prove to be assets.
“Differences, when blended, are mellow,” Wachara says. Panadda, meanwhile, says her team members are open-minded, ready to take up challenges, and have positive thinking.
“Teamwork and Handle with Care makes us work so happily,” she quips.
Vikorn says the IR team looks for diversity and outgoing personality from its members too.
“Our members can come together, like different LEGO pieces, and form a formidable structure,” Wachara says.

สร้างความเชื่อมั่นด้วยบทบาท Factual Storytelling

จากการที่เอสซีจี แพคเกจจิ้ง เตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้น IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แน่นอนว่ารายละเอียดที่นักลงทุนรวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องการทราบ จำเป็นจะต้องถูกสื่อสารออกไปอย่างตอบโจทย์ นั่นคือจุดที่ทำให้ทีม Investor Relations (IR) เข้ามามีบทบาทสำคัญ a LOT เล่มนี้จึงชักชวนพี่โต้ง – วัชระ เอี่ยมสกุล Investor Relations Director ฝ้าย – วิกร พงศธร บี – ปนัดดา สุขพันธุ์ถาวรและเปิ้ล – วิมลมาลย์ กฤษณะกลิน Investor Relations Associate Director มานั่งคุยกัน ทั้งสี่จะช่วยให้เรารู้จักกับหน่วยงานนี้ดียิ่งขึ้น

 

Investor Relations – บทบาทและความท้าทาย

ทีม IR เริ่มต้นเล่าว่า การเสนอขายหุ้น IPO ก็คือการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อนำเงินของนักลงทุนที่สนใจมาขยายธุรกิจให้เติบโตในอนาคต ซึ่งภารกิจหลักของทีม IR คือการสร้างความเข้าใจและความรับผิดชอบต่อการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญบนพื้นฐานการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน แก่นักลงทุน นักวิเคราะห์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่นข้อมูลด้านการดำเนินธุรกิจ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ เป็นต้นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน

ความท้าทายของทีมคือ การสร้างความเข้าใจกับคนภายนอก “IR เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างบุคคลภายนอกกับบริษัทฯ ซึ่งโจทย์ ที่สำคัญไม่เพียงแค่เราจะสื่อสารเรื่องราวของบริษัทให้คนภายนอกเข้าใจได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นคือ การสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) นั่นทำให้ทีมต้องบาลานซ์ระหว่างคนในบริษัทกับบุคคลภายนอก เรารับฟังความคิดเห็นจากคนภายนอกและนำมาสะท้อนให้กับบริษัท เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ภายในบริษัทให้ดีขึ้นยิ่งขึ้น” บีเสริม

 

รู้จักบริษัท – เข้าใจนักลงทุน

ฝ้ายอธิบายกลยุทธ์ในการเล่าเรื่องให้น่าสนใจว่า ทีม IR นิยามวิธีการเล่าเรื่องให้บุคคลภายนอกรู้จักบริษัทเราว่าจะต้อง “เล่าให้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่าย” เพื่อให้ทันกับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เล่าเรื่องให้น่าสนใจคืออะไร? “เหมือนเวลาเราไปตัดสูททุกตัวจะไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกัน เวลาที่เรา Customize ตัวกล่องให้กับลูกค้า ทุกกล่องทุกแบบก็จะไม่เหมือนกันแล้วแต่ความต้องการของลูกค้า”

ประเด็นเดียวกันนี้ เปิ้ลเสริมว่า “กลยุทธ์ในการสื่อสารกับบุคคลภายนอก ท้ายที่สุดแล้วจะสะท้อนให้เห็นมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ทีม IR เป็นคนนำโจทย์ที่คนภายนอกอยากรู้มาหาคำตอบเพื่อสื่อสารกลับออกไปซึ่งเขาจะสามารถสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้”

ยืดหยุ่น รับทุกสถานการณ์

จากสถานการณ์ช่วงโควิด-19 แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการทำงานไปพอสมควร แต่ทีมมองข้ามอุปสรรคหรือข้อจำกัดที่เกิดขึ้นและเดินหน้าต่อไปเพราะทุกคนสามารถทำงานได้ทุกที่ มีความยืดหยุ่นสูง และปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

บีแชร์เรื่องการปรับตัวว่า สิ่งสำคัญคือ Flexibility และ Teamwork รวมถึงเรื่องการสื่อสารสถานการณ์วิกฤติเข้ามาเป็นตัวเร่งให้ทุกอย่างเปลี่ยนการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์จึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง

“ทุกคนต้องมี Dynamic และสามารถทำงานได้ทุกที่ เพราะปัจจุบันมีทั้งสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตที่ช่วยสร้างความสะดวก ความท้าทายคือเราพยายามปรับเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่น งานอีเว้นต์ใหญ่ ๆ ที่ยังไม่สามารถทำได้ ก็ปรับมาใช้รูปแบบ Virtual Meeting มากขึ้น” ฝ้ายเสริม

แตกต่างอย่างกลมกล่อม

“ความแตกต่าง เมื่อมารวมกันมันอร่อยกลมกล่อมขึ้น” พี่โต้งกล่าว นอกจากความรู้ความสามารถเฉพาะตัวของทุกคนในทีมจะเอื้อประโยชน์ต่อการทำงานแล้ว คุณสมบัติที่แตกต่างกันของพวกเขายังเป็นตัวขับเคลื่อนให้ทีมทำงานได้อย่างราบรื่นอีกด้วย

บีเสริม “จุดเด่นของเราคือการ Open and Challenge หรือการเปิดใจ รวมถึง Positive Thinking ด้วย ไม่ใช่โลกสวยนะ แต่มองโลกตามความเป็นจริง ทั้งยังมีเรื่องของ Teamwork และ Handle with Care ที่ช่วยให้เราทำงานกันอย่างมีความสุข”

ฝ้ายเพิ่มเติมในเรื่องของคนว่า ลักษณะทั่วไปของคนที่ทีมมองหาต้องเป็นคนที่ Outgoing และยินดีที่จะ Engage คนใหม่ ๆ จุดสำคัญคือทีมต้องมี Diversity เพราะจะช่วยสร้าง Dynamic ที่ดี

“ทุกคนช่วยเสริมกัน เหมือนสร้างบ้านด้วยเลโก้ แต่ละชิ้นไม่เหมือนกันแต่พอมารวมกันมันกลายเป็นบ้านครับ” พี่โต้งปิดท้าย

SCGP x Lotus Support Shoppers to Bring Paper Boxes back for Recycling, Aiming to Install 220 Drop Points in every Lotus Branch All over the Country

SCGP x Lotus

Support Shoppers to Bring Paper Boxes back for Recycling,

Aiming to Install 220 Drop Points in every Lotus Branch All over the Country

In the new normal in which shopping online becomes a lifestyle, a number of online-shopping goods are sent out to customers daily.  After delivery, many used carton boxes were left as garbage. Although some consumers are environmentally concerned and realize how important it is to recycle the carton boxes to maximize the use of materials, there are not many drop points for this purpose and the available ones are not at the convenient locations. In the end, those boxes were disposed with other wastes.

To tackle the problem, SCGP, represented by Mr. Jirasak Kaewubol Director – Recycling Business, joins hands with Lotus led by Mrs. Salinla Seehaphan, Corporate Affairs Director, in the project to install a drop point at every branch of Lotus in Thailand. The boxes will then be recycled and processed into new paper boxes. We carry on the consumer’s good intention and jointly build a sustainable waste management system in accordance with the Circular Economy principles.

SCGP increases investment in Visy Packaging due to demand rise Boosting capacity by 347 million pieces, to be completed year-end

SCGP is expanding Visy Packagings production capacity of high Performance and Polymer Packaging by 15-20% or more than 347 million pieces a year in response to increasing demands in Thailand and abroad. Full operation is expected later this year.

Mr. Wichan Jitpukdee, Chief Executive Officer, SCG Packaging Public Company Limited, SCGP, reveals that the Company is in the process of ratcheting up production capacity of Performance and Polymer Packaging (PPP) of Visy Packaging (Thailand) Limited or Visy to meet increasing demands for packaging in Thailand and abroad.                       

Anticipating that increasing demands will spur future growth, the Company is investing Baht 510 million , a new production line #7 including related automatic warehouse is currently under constructionVisys capacity will increase by 347 million pieces or 1520%, depending upon the product mix at any given period. Currently the machine has commercially started up while the new automated warehouse is expected to complete at the end of 2021.                 

Visy is 80% owned by SCGP Rigid Plastics Co., Ltd., which is a 100%-owned subsidiary of SCGP. The acquisition of Visy shares was completed in August 2019 as a Merger and Partnership (M&P) subsidiary, which has continued to operate at full capacity since.                      

Visy Thailand is Asia’s leading producer of thermoformed barrier food packaging and related technology such as high-quality fruit cups, pet food and human food trays, jars, etc. by serving established global brand owners that require high quality packaging for food preservation, light weight, shelf-life extension, and recyclable. Majority of its sales revenue in 2020 were direct and indirect exports to developed markets, for example the United States and European markets. Since the consolidation, Visy Thailand has been operating at its full capacity producing 1,750 million pieces a year, supported by consumers trends such as higher middle-class income, smaller households, and convenience and healthier lifestyle. Its products can also be used as an alternative packaging for aluminum, tin cans and glass jar.

Furthermore, Visys products have been used as replacements for other packaging products and thus become viable alternative packaging products for consumers, leading to increased uses.

SCGP จับมือ Lotus ชวนลูกค้าขาช้อปนำกล่องและกระดาษกลับมารีไซเคิล

SCGP x Lotus ชวนลูกค้าขาช้อปนำกล่องและกระดาษกลับมารีไซเคิล
ตั้งเป้าขยาย Drop point 220 สาขาทั่วประเทศ

 

“พฤติกรรมผู้บริโภค” กับการ “ชอปออนไลน์” ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ผลักดันให้ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นไลฟ์สไตล์ปกติในยุค New Normal เมื่อพัสดุส่งมาถึงมือผู้รับ บรรจุภัณฑ์ที่ทำหน้าที่ปกป้อง และขนส่ง ก็หมดหน้าที่ และกลายเป็นวัสดุเหลือใช้ แม้ว่าผู้บริโภคจะมีใจรักษ์โลก อยากส่งกลับไปรีไซเคิลเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า แต่ไม่รู้จะส่งไปที่ไหน หรือไม่ได้รับความสะดวก จนเปลี่ยนใจทิ้งรวมกับขยะประเภทอื่นไปในที่สุด

SCGP จึงร่วมมือกับ Lotus พันธมิตรหัวใจสีเขียววาง Drop point ที่ Lotus ทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อเป็นจุดรับและจัดเก็บกล่องและกระดาษกลับสู่กระบวนการรีไซเคิล 100% สานต่อความตั้งใจของผู้บริโภคที่เห็นคุณค่า และอยากสร้างระบบการจัดการวัสดุเหลือใช้อย่างยั่งยืนตามหลัก Circular Economy

SCGP รับมอบใบรับรองระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ

นายแสงชัย วิริยะอำไพวงศ์ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กิจการกระดาษบรรจุภัณฑ์ SCGP และกรรมการผู้จัดการ บริษัทสยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด รับมอบใบรับรองระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (ISO 22301:2019 Business Continuity Management System) จากนางพรรณี อังศุสิงห์ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม (สรอ.) หรือ MASCI โดยมีคณะผู้บริหารทั้ง 2 องค์กร ร่วมแสดงความยินดี เมื่อเร็ว ๆ นี้

Fest Chill : The Right Choice for Food Deliveries

Today, food-delivery platforms have enjoyed growing popularity as consumers appreciate the convenience of having food sent to their place. It can be said that food-delivery businesses have now been booming.

As a leader of food safety packaging business, Fest has developed “Fest Chill” as a solution to restaurants and food-delivery operators that care about hygiene,safety and environmental friendliness.

Fest Chill is made of eucalyptus pulp from commercial afforestation. It comes with high strength and hot food containable up to 130 degrees Celsius, suitable for all kinds of food. It is not only hygienic but also environmentally friendly, which makes it good for consumers, business and environment as well.

 

  • Fest Chill can be chilled at a temperature of up to five degrees Celsius.
  • For disposal, it is very easy to remove film from Fest Chill box.
  • Fest Chill is microwavable at a maximum of 800 Watts for 3 minutes.
  • Plastic film is recyclable.
  • Other parts of Fest Chill package are biodegradable on their own within 60 days.
  • Fest Chill strong structure is suitable for food deliveries.

 

Fest Chill Food Safety Packaging is available at Fest Shop, SCG headquarters in Bangsue area or www.festforfood.com

For more information, please browse to www.facebook.com/fest,

LINE @festforfood or contact call center 0-2586-1000.

Unlimited Solutions through Innovative Mindset

Innovative mindset encourages learning and efforts to develop solutions. Thanks to such a mindset, great innovations like DOM (Detect Odor & Monitoring) have been created. Designed

to detect odor at industrial plants, SCGP’s DOM has won the National Innovation Award in

Service Design category this year.

 

Now, let’s hear directly from the DOM team about its truly innovative mindset.

 

“We believe DOM will support smooth business operations. In the past, odor problems had often been issues between factories and communities and there was no efficient device to check the odor. Our DOM has great accuracy. So, the device will detect odor even before it becomes

an issue.

 

“Our innovation responds to not just business purposes but also social and environmental care. It materializes because of our innovative mindset. We understand problems and seek to overcome any challenges in our keen pursuit of solutions. Innovative mindset will help any innovator. As for our team, we intend to constantly improve our DOM so that it becomes widely used for good

causes.”

 

Dr. Thipnakarin Boonfueng – Senior Researcher /

Environmental Technology Specialist, Product & Technology Development Center

 

“We started developing DOM because of odor at our plant.

 

“Aware of the odor, our plant had used various odor-detection products before but they had failed to completely eradicate the problem. However, our comprehensive research and serious development have made a difference. Our DOM can detect odor, monitor it, and even assess its impacts.

 

“One big challenge in DOM development is that factories have different kinds of odor. To ensure efficiency, we study the problem case by case. We adapt and adjust fast to provide each of our

customers with the best DOM.”

 

 

Mr. Wuttinan Lerkmangkor – Researcher,

Product & Technology Development Center