SCGP หรือ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) คือ บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ใน SCG หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจปูนซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้ง ซึ่ง SCGP คือส่วนธุรกิจแพคเกจจิ้งที่กำลังจะเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นนั่นเอง SCGP ประกอบธุรกิจใน 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ (Fiber-based Packaging) เช่น กล่องลูกฟูก และกล่องพิมพ์สีเพื่อการแสดงสินค้า กระดาษบรรจุภัณฑ์ (Packaging Paper) เช่น กระดาษบรรจุภัณฑ์ลูกฟูก กระดาษกล่องขาวเคลือบ และบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ (Performance and Polymer Packaging) ที่นำเสนอบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวและบรรจุภัณฑ์แบบคงรูปเจาะกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว (Fast Moving Consumer Goods หรือ “FMCG”) ทั้งนี้ รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 84 ของรายได้จากการขาย 2) สายธุรกิจเยื่อกระดาษ (Fibrous Chain) บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภาชนะบรรจุอาหาร (Food Service Products) จากแบรนด์ ‘เฟสท์’ เช่น หลอด ถ้วย ภาชนะบรรจุอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์เยื่อและกระดาษ (Pulp and Paper Products) เช่น กระดาษถ่ายเอกสารแบรนด์ ‘ไอเดีย’ กระดาษกราฟิก ฯลฯ ทั้งนี้ รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 16 ของรายได้จากการขาย จุดเด่นของ SCGP อยู่ที่ความครบวงจร ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ของ SCGP สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้า รวมถึงผู้บริโภคได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมสินค้า FMCG อาหารและเครื่องดื่ม สุขอนามัย ไปจนถึงกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยแบรนด์ของ SCGP เองก็ได้รับการยอมรับในอาเซียน มีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องอย่างกลุ่มธุรกิจภาชนะบรรจุอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นเทรนด์ขึ้นมาเรื่อย ๆ SCGP ก็จับเทรนด์ได้ดีและแสวงหาการเติบโตใหม่ ๆ อยู่เสมอ การลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถก็เป็นเรื่องสำคัญ ในปี 2562 SCGP มีการลงทุนขยายกำลังการผลิต พัฒนาจุดแข็งในการดำเนินงาน และการขยายธุรกิจด้วยการควบรวมกิจการในภูมิภาค ด้วยเงินลงทุนรวมกว่า 25,000 ล้านบาท ตรงนี้อาจจะเรียกว่าเป็นอีกจุดแข็งหนึ่งของบริษัทฯ ก็ว่าได้ นอกจากนี้ SCGP เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศและภูมิภาค ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานและรักษาคุณภาพจนได้รับการยอมรับ สามารถขยายขีดความสามารถได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่การทุ่มงบวิจัยและพัฒนา รวมไปถึงควบรวมกิจการต่าง ๆ SCGP จึงคงสถานะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ กลยุทธ์ของ SCGP บริษัทฯ วางตัวเป็นคู่คิดให้ลูกค้า โดยใช้การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ครบวงจรเป็นตัวช่วย สะดวกสำหรับลูกค้าที่ต้องการคำตอบในที่เดียว โดยมุ่งเน้นการตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลายตามความต้องการ ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์สำหรับลูกค้ารายย่อย บรรจุภัณฑ์ที่มุ่งเน้นความสะดวกในการใช้งาน นวัตกรรบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับกลุ่มลูกค้า e-commerce และบรรจุภัณฑ์ส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาด นอกจากนี้ SCGP ยังเน้นการดำเนินธุรกิจแบบ B2B2C เพราะสัดส่วนเกือบร้อยละ 70 ของรายได้จากการขายมาจากลูกค้าอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บริษัทฯ คิดค้นพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ โดยคำนึงถึงการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำมาพิจารณานั่นเอง เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy คือ หลักในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดย SCGP ก็มุ่งเน้นในการสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ใช้งานง่าย น้ำหนักเบา แข็งแรง สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยสัดส่วนกว่าร้อยละ 95 ของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตกล่องกระดาษในปัจจุบัน มาจากกระดาษรีไซเคิล หมายเหตุ: (1) คำนวณเป็นร้อยละของรายได้รวมจากการขายของบริษัทฯ (2) ข้อมูลตามส่วนงานแต่ละส่วนของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรนำมาจากข้อมูลทางการเงินสำหรับผู้บริหารที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบหรือสอบทานจากผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ (3) สุทธิจากการตัดรายการระหว่างสายธุรกิจ ภาพรวมผลดำเนินงาน SCGP มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 45,903 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากงบการเงินพบว่า รายได้งวดครึ่งปีแรกของปี 2563 มีแนวโน้มที่เติบโตเช่นเดียวกับกำไรสุทธิ ซึ่งเป็นผลจากยอดขายบรรจุภัณฑ์สำหรับอีคอมเมิร์ซ ฟู้ดเดลิเวอรี่ ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารส่งออก สินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพที่เติบโตอย่างมาก จากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 และมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ผู้บริโภคต่างใช้ชีวิตแบบ New Normal และทำกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ และให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัยมากขึ้นด้วย SCGP กำลังจะเข้าตลาดหุ้น SCGP มีแผนจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากที่เคยมี SCC เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ประมาณร้อยละ 99.0 ก่อนมีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยบริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นการทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยจะมีประชาชนทั่วไปเข้ามาถือหุ้นสูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 หลังระดมทุนแล้ว SCGP ตั้งเป้าเติบโตทั้ง organic และ inorganic บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืม รวมไปถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ภาพแน่นอนข้อหนึ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคือการลดลงของภาระหนี้สินและดอกเบี้ยจ่ายที่จะช่วยให้ SCGP แข็งแกร่งขึ้นอีก โดย SCGP มีโครงการลงทุนขยายกำลังการผลิตมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 8.2 พันล้านบาทที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 คือโครงการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ ในประเทศอินโดนีเซียและประเทศฟิลิปปินส์ โครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวที่ประเทศเวียดนามและประเทศไทย บริษัทฯ ตั้งเป้าจะขยายส่วนงานธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง เช่น กลุ่มอาหาร FMCG และอีคอมเมิร์ซ และนำรูปแบบการทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในไทยไปใช้ต่อต่างประเทศ เพื่อขยายขนาดตลาด กลุ่มลูกค้า และโอกาสในการเติบโต ปรับปรุงประสิทธิภาพและกำลังการผลิต ไปจนถึงมองหาโอกาสควบรวมกิจการ การระดมทุนครั้งนี้น่าจะกลายเป็นจุดหมายสำคัญในการเติบโต SCGP น่าจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับแรงเสริมจากการเติบโตของเมกะเทรนด์ ทั้งอีคอมเมิร์ซ ฟู้ดเดลิเวอรี่ ไปจนถึงกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ สำหรับใครที่รอคอยและตามหาหุ้นแบบนี้ อย่าลืมไปแกะกัน! เข้าไปอ่านแบบ filing ฉบับเต็มได้ที่ https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=282407&lang=th
Tag Archives: spotlight
สรุปหุ้น IPO SCGP
ถ้าพูดถึงหุ้นใหญ่เมืองไทยที่ทุกคนรู้จักกันดีคงมีชื่อของหุ้นเอสซีจี หรือ SCC ที่สร้างผลกำไรให้นักลงทุนมากมายหลายปีที่ผ่านมา วันนี้ต้องบอกว่าพี่ปูนใหญ่กลับมาแล้ว! แต่รอบนี้เป็นการนำบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจบรรจุภัณฑ์มาเข้าตลาดหุ้นภายใต้ชื่อ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (“SCGP”) เพื่อระดมทุนไปรองรับแผนการเติบโตแบบ Organic ด้วยการขยายและปรับปรุงประสิทธิภาพสายการผลิต และมีแผนแบบ Inorganic ผ่านการควบรวมกิจการทั้งในและต่างประเทศ หุ้นตัวนี้มีความดีงามที่น่าสนใจหลายอย่างเช่น เป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน แถมธุรกิจของ SCGP ก็กำลังเติบโตตามเทรนด์ผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของออนไลน์ (E-Commerce) และธุรกิจรับส่งอาหาร (Food Delivery) บอกได้เลยว่าจะเป็น IPO แห่งปีที่น่าจับตามองแน่นอน ส่วนรายละเอียดของตัวธุรกิจน่าสนใจแค่ไหน ผมสรุปมาให้แล้วครับ หุ้นกำลังจะเข้าตลาดแล้ว ช่วงนี้ผลตอบแทนดี ๆ หลายตัว ไม่ศึกษาเตรียมไว้ ถ้าพลาดแล้วห้ามบ่นว่า ”เสียดาย” นะครับ 🙂 แว้บแรกที่ดูหุ้น SCGP หุ้นตัวนี้มีความน่าสนใจอยู่ประมาณ 3-4 ประเด็นด้วยกันครับ เป็นผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย และอีกหลาย ๆ ประเทศในอาเซียน ตรงนี้น่าสนใจเพราะการแข่งขันช่วงนี้แข่งกันดุเดือด ซึ่ง SCGP ถือเป็นรายใหญ่ จึงมีความแข็งแกร่งค่อนข้างมาก เป็นหุ้นที่เติบโตไปพร้อมกับเทรนด์การบริโภคและช้อปปิ้งออนไลน์ของอาเซียน ผมเองสังเกตเห็นว่าช่วงหลัง ๆ ที่ผ่านมา คนสั่งของออนไลน์กันเยอะมาก การใช้แพคเกจจิ้งก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หุ้น SCGP น่าจะได้รับแรงหนุน ประกอบกับการมี R&D ที่แข็งแกร่ง ก็จะยิ่งช่วยเสริมเกิดการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว รายได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและอุตสาหกรรมยังมีช่องว่างให้เติบโตอยู่ โดย SCGP มีแผนการเติบโตแบบ Organic ด้วยการขยายและปรับปรุงประสิทธิภาพสายการผลิต และแผนแบบ Inorganic ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรที่น่าสนใจในการขยายธุรกิจ SCGP ทำการตลาดในอาเซียนและมีการส่งออกมากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก นับได้ว่าเป็นหุ้นที่มีส่วนแบ่งรายได้จากตลาดในต่างประเทศประมาณครึ่งหนึ่ง ใครอยากไปต่างประเทศแต่ไม่อยากซื้อหุ้นต่างประเทศ ซื้อ SCGP ก็ทำให้ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของต่างประเทศได้ครับ ชื่อ SCGP นี่ก็ไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะบริษัทนี้ถือเป็นบริษัทย่อยของปูนซิเมนต์ไทย (SCC) นี่เอง ปัจจุบัน SCC ถือหุ้นประมาณ 99% แต่หลังจาก IPO เข้าตลาดแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของ SCC จะเหลือราว ๆ ไม่น้อยกว่า 70% แต่ SCC ก็ยังมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ ดังนั้น การซื้อหุ้น SCGP ก็เหมือนการได้ร่วมทุนกับปูนใหญ่ไปกลาย ๆ โดยตัวธุรกิจหลัก ๆ ของ SCGP เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยผลิตตั้งแต่กระดาษที่เอาไปทำบรรจุภัณฑ์, กล่องที่ใช้ในอุตสาหกรรม บรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงสินค้านวัตกรรมต่าง ๆ สัดส่วนของธุรกิจแบ่งตามรายได้ ประกอบด้วย สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรมีสัดส่วนรวม 84% ของรายได้จากการขาย (ข้อมูลงวดครึ่งปีแรกของปี 2563) ถือเป็นธุรกิจหลักของ SCGP เลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้รายได้แบ่งแยกย่อยเป็น 3 ประเภทคือ …. 1.บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ 25% 2.กระดาษสำหรับใช้ทำบรรจุภัณฑ์ 51% 3.บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ 8% สายธุรกิจเยื่อและกระดาษมีสัดส่วน 16% ของรายได้จากการขายทั้งหมด มองผ่านตัวเลขอาจจะเข้าใจได้ไม่หมด ผมทำรูปตัวอย่างมาให้ดูกันชัด ๆ ครับว่าหน้าตาสินค้าแต่ละหมวดเป็นอย่างไรบ้าง? จากภาพนี้ จะเห็นว่าบรรจุภัณฑ์ของ SCGP มีหลากหลายรูปแบบมาก ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม Highlight ที่น่าสนใจของบรรจุภัณฑ์ของ SCGP คือหมวดบรรจุภัณฑ์สมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ที่มีโอกาสการเติบโตสูงเพราะเป็นบรรจุภัณฑ์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค นอกจากนั้น SCGP ยังผลิตสินค้าจำพวกกล่องอาหาร และถาดใส่อาหารต่าง ๆ ดังนั้น SCGP จึงมีโอกาสเติบโตของการสั่งอาหารผ่าน Food Delivery มากขึ้นด้วยครับ ดังนั้น พอบรรจุภัณฑ์ที่ SCGP ขายมีความหลากหลาย ลูกค้าที่มาซื้อก็มีความหลากหลายตามไปด้วย ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทคือกลุ่ม Consumer Goods ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 69% ส่วนที่เหลืออีก 31% เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมและอื่น ๆ บริษัทที่เป็นลูกค้าของ SCGP ก็เช่น บริษัทแฟชั่นกีฬา, ผู้ผลิตอาหารแช่แข็งและผลไม้กระป๋อง, ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและสุขอนามัย, เครื่องปรับอากาศ, อาหารสำเร็จรูป ฯลฯ ลูกค้าของ SCGP กระจายอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ดังนั้น ทำให้ความเสี่ยงของ SCGP ลดลงด้วย เพราะไม่ต้องพึ่งพิงอยู่กับอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งมากจนเกินไป SCGP ดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง การเติบโตของรายได้ก็ถือว่าอยู่ในระดับดีทีเดียว สำหรับบริษัทที่มีรายได้ระดับเกือบ ๆ แสนล้าน ดูในรูปจะเห็นว่ารายได้ปีล่าสุดมีการเติบโตมาราว ๆ 2% แต่กำไรลดลงเล็กน้อย จริง ๆ มันมีสาเหตุอยู่ครับ เพราะในไตรมาส 3 ปี 2562 SCGP มีการควบรวมบริษัทบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียและในประเทศไทยมา 2 ราย ทำให้รายได้เข้ามาไม่เต็มปี นอกจากนั้นปี 2562 สินค้าหมวดเยื่อและกระดาษมีราคาขายที่ปรับลดลง ถัว ๆ กันไปกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่มากขึ้นออกมาเป็นการเติบโตเล็กน้อยที่ 2% อัตรากำไรขั้นต้นของ SCGP ก็ลดลงในทิศทางเดียวกันคือลดจาก 20.8% ในปี 2561 มาเหลือ 19.6% ในปี 2562 ด้วยสาเหตุเดียวกันกับที่กล่าวไปข้างต้น ส่วนล่าสุด ภาพรวมครึ่งปีแรกของปีนี้ SCGP มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 45,903 ล้านบาท เติบโต 11% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิ 3,636 ล้านบาท เติบโต 40% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แล้วบริษัทมีแผนในการสร้างการเติบโตให้กลับมาอย่างรวดเร็วอย่างไรบ้าง? SCGP มีแผนหลัก ๆ อยู่ 2 แผนด้วยกันคือ การเพิ่มกำลังการผลิตให้กับสินค้าที่เติบโตและการควบรวมซึ่งจะทำให้ SCGP ได้กำไรทันที SSCGP ยังมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตให้กับบริษัทโดยรวมได้ที่ 15.7% Sส่วนการเพิ่มกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อ่อนตัว (พวกซอง ๆ ทั้งหลาย) SCGP มีแผนในการเพิ่มกำลังการผลิตให้โรงงานในประเทศไทยและเวียดนาม Sที่จำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตเพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตเดิมของโรงงานเริ่มเต็มนั่นเอง ถามว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้บริษัทมั่นใจได้ว่าเพิ่มกำลังการผลิตมาแล้วสินค้าจะยังขายได้? ปัจจัยนั้นคือเรื่องการเติบโตของตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน จากรูปจะเห็นว่าแต่ละประเทศมีการเติบโตของการบริโภคบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ 5.3-7.2% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย ประเทศไทยโต 5.3% ประเทศอินโดนีเซียโต 5.5% ประเทศเวียดนามโต 5.6% ประเทศฟิลิปปินส์โต 7.2% อย่างไรก็ตาม ในฐานะของนักลงทุนก็ไม่ควรมองที่โอกาสในการทำกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ก็ต้องมองความเสี่ยงไว้ด้วยซึ่ง SCGP มีความเสี่ยงที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวหลายอย่างเช่น เรื่องการจัดหาวัตถุดิบให้เพียงพอต่อความต้องการของบริษัทที่มีการไปตั้งโรงงานไว้ในหลายประเทศ เนื่องจากธุรกิจของ SCGP เป็นกระดาษซึ่งมีวัตถุดิบตั้งต้นมาจากเยื่อไม้และกระดาษรีไซเคิล ดังนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องทำตามกฎหมายของแต่ละประเทศ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงขึ้นได้ในกรณีที่ประเทศนั้น ๆ ไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง และอาจมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย กระดาษพิมพ์เขียนเป็นสินค้าที่มีโอกาสถูก Disruption สูง แม้ปัจจุบันจะเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ทั้งในเชิงการเรียน และการส่งของต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลเสียกับบริษัทได้ แม้ความเสี่ยงจะมีอยู่บ้างแต่ด้วยศักยภาพของ SCGP และฐานะความเป็นผู้นำตลาด บริษัทฯ มีการติดตามความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง และสามารถปรับไลน์การผลิตไปสู่สินค้าที่มีอนาคตดีกว่าได้ สุดท้ายถ้าอยากซื้อหุ้นร่วมทุนทำธุรกิจกับ SCGP ที่มีปูนใหญ่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ รายละเอียดที่นักลงทุนจำเป็นต้องรู้มีดังต่อไปนี้ครับ … เงินปันผล ! บริษัทมีแผนที่จะจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 20% ของกำไรสุทธิ ซึ่งส่วนตัวผมถือว่ามันไม่มาก แต่ก็พอเข้าใจได้เพราะบริษัทต้องใช้เงินในการขยายกำลังการผลิต รวมไปถึงการซื้อกิจการ การซื้อหุ้น SCGP ถือเป็นการลงทุนในหุ้นที่มีสถานะธุรกิจเป็นผู้นำในหลาย ๆ ประเทศ ความแข็งแกร่ง และการเติบโตนับว่าคาดหวังได้ ขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปในสัดส่วนสูงสุดไม่เกิน 29.3% (ภายใต้สมมติฐานว่าจะมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนส่วนเกินทั้งจำนวน) ถือว่าไม่มากไม่น้อย เป็นระดับปกติที่บริษัทมั่นใจได้หุ้นจะซื้อง่ายขายคล่องในตลาด SCGP ถือว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจเพชรเม็ดงามของเอสซีจี เข้าตลาดมาคงเป็นที่ติดตามของนักลงทุนทั้งรายย่อยและรายใหญ่ ส่วนใครอยากจะเข้าไปซื้อ ก็ขอให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก Filing ตัวเต็มได้ครับ ขอให้โชคดีมีกำไรกันทุกคนมีความสุขกับการลงทุนครับ
SCGP จากน้องคนเล็กสู่หุ้นน่าลงทุนตัวใหม่จากค่ายเอสซีจี
ภาพของธุรกิจที่แว้บเข้ามาในความคิด เมื่อนึกถึง ‘เอสซีจี’ คือธุรกิจอะไร? เชื่อว่าแพคเกจจิ้งคงไม่ใช่คำตอบแรกที่ติดโผเข้ามาใน Top of Mind คุณอย่างแน่นอน เพราะธุรกิจกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็นน้องคนเล็กสุดของปูนซิเมนต์ไทย จากสัดส่วนรายได้ที่คิดเป็นประมาณร้อยละ 23 ของรายได้จากการขายของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (“SCC”) ขณะที่อีกร้อยละ 77 มาจากพี่ ๆ ในครอบครัวอย่างธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง รวมถึงธุรกิจเคมิคอลส์ ทว่าเมื่อพลิกดูผลประกอบการล่าสุดของ SCC ในงวดครึ่งปีแรกของปีนี้อาจสร้างความเซอร์ไพรส์ให้ใครหลายคน เพราะธุรกิจแพคเกจจิ้งที่ดำเนินการโดย บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (“SCGP” หรือ “บริษัทฯ) กลับเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น แม้จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเกิดวิกฤตใหญ่ของโลกอย่าง COVID-19 ที่กินเวลาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เพราะสัดส่วนรายได้กว่าร้อยละ 69 ของบริษัทฯ มาจากกลุ่มสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรของ SCGP นั้นได้รับอานิสงส์ทั้งจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) และธุรกิจบริการรับส่งอาหาร (Food Delivery) ที่จำเป็นต้องใช้บรรจุภัณฑ์เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการส่งสินค้าไปยังผู้บริโภค รวมถึงสินค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัย (Healthcare) SCGP ก็ยังมีบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ จำพวกบรรจุภัณฑ์แบบคงรูปและบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวที่สามารถรองรับสินค้ากลุ่มดังกล่าวได้ เช่น หลอดเจลล้างมือ ขวดยา ฯลฯ ปัจจุบัน SCGP มีโรงงานผลิตในฐานที่ตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ธุรกิจของ SCGP ประกอบด้วย 2 สายธุรกิจหลักคือ (1) สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) ที่มีผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย และ (2) สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) โดยร้อยละ 52 ของรายได้จากการขายมาจากการจัดจำหน่ายภายในประเทศไทย และที่เหลือมาจากการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ SCGP ยังมีลูกค้าที่อยู่ในภูมิภาคอื่น ๆ รวมทั้งสิ้นประมาณ 20 ประเทศทั่วโลก สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งถือเป็นเมกะเทรนด์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนวิกฤตโรคระบาดนั้น SCGP ได้เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจเหล่านี้โดยเฉพาะในประเทศไทย ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศเวียดนาม และประเทศฟิลิปปินส์ สอดคล้องกับข้อมูลจาก ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน ที่จัดทำ ณ สิงหาคม 2563 ที่คาดว่าตลาดอีคอมเมิร์ซ (มูลค่าสินค้าทั้งหมด) ใน 4 ประเทศนี้จะเติบโตเฉลี่ยกว่าร้อยละ 30.4 ต่อปี ในช่วงระหว่างปี 2562-2567 เป็นที่มาที่ทำให้ SCGP เข้าไปตั้งฐานการผลิตในกลุ่มประเทศดังกล่าว และยังมีกลยุทธ์ที่ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ SCGP เป็นธุรกิจที่มองข้ามไม่ได้คือ การควบรวมกิจการและร่วมมือทางธุรกิจ (Merger and Acquisition (M&A)) โดยล่าสุดในปี 2562 บริษัทฯ มีการลงทุนขยายธุรกิจในรูปแบบนี้กว่า 25,000 ล้านบาท ไม่เพียงแต่การขยายธุรกิจจากภายนอก (Inorganic) อย่างการควบรวมกิจการ แต่ SCGP ยังเดินหน้าขยายธุรกิจภายใน (Organic) ไปพร้อมกัน โดยปัจจุบัน SCGP อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานเพื่อขยายกำลังการผลิตอีก 4 แห่ง ในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย ด้วยเงินลงทุนประมาณ 8,200 ล้านบาท โดยคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังปี 2563 – ประมาณกลางปี 2564 เมื่อมองผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของ SCGP พบว่าบริษัทฯ มีรายได้จากการขายเติบโตต่อเนื่องในปี 2559-2562 อยู่ที่ 74,542 ล้านบาท 81,455 ล้านบาท 87,255 ล้านบาท และ 89,070 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 6.1 ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงปี 2559-2562 อยู่ที่ 3,285 ล้านบาท 4,425 ล้านบาท 6,065 ล้านบาท และ 5,269 ล้านบาท ตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 17.0 ในส่วนผลการดำเนินงานล่าสุดช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ SCGP มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 45,903 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดย EBITDA ในครึ่งปีแรกเท่ากับ 9,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขยายกำลังการผลิตและการควบรวมกิจการในอาเซียน สำหรับการ IPO ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ คงจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ SCGP สามารถสร้างการเติบโตและต่อยอดทางธุรกิจ เพื่อรักษาการเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรของภูมิภาค และน่าจะเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่อยู่ในเรดาร์ของนักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นเติบโตหรือ Growth Stock ที่ธุรกิจมั่นคง และมีโอกาสเติบโตควบคู่ไปกับเมกะเทรนด์ต่าง ๆ ในอนาคต แหล่งข้อมูล (1) รายงานการวิจัยทางการตลาดแบบอิสระของ ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน (2) ร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนฉบับเต็มของ SCGP ซึ่งได้ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th
6 เรื่องที่ต้องรู้ ก่อนลงทุนหุ้น SCGP
บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (“SCGP” หรือ “บริษัทฯ) ถือเป็นหนึ่งใน IPO ของปี 2563 ที่น่าจับตาอย่างมาก เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตและความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจที่โดดเด่น SCGP นั้นเป็นบริษัทในบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (“SCC”) ซึ่งไม่ได้มีเพียงผลิตภัณฑ์ซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้งอีกด้วย ธุรกิจแพคเกจจิ้งใน SCC มีการเติบโตที่โดดเด่นมาอย่างต่อเนื่อง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะทำความรู้จักกับ SCGP ให้มากขึ้นก่อนที่เราจะเข้าไปซื้อหุ้น เราลองมาดูภาพรวมของธุรกิจกันก่อนครับว่ามีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง 6 เรื่องต้องรู้ก่อนลงทุนหุ้น SCGP เป็นผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์ระดับอาเซียน SCGP เป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรขนาดใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในปี 2562 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 89,070 ล้านบาท และสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2563 รายได้จากการขายอยู่ที่ 45,903 ล้านบาท! โครงสร้างรายได้ของ SCGP ประกอบไปด้วย 2 สายธุรกิจหลัก สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) มีผลิตภัณฑ์หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ประกอบด้วย บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ (Fiber-based Packaging) กระดาษบรรจุภัณฑ์ (Packaging Paper) บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ (Performance and Polymer Packaging) สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ภาชนะบรรจุอาหาร (Food Service Products) ผลิตภัณฑ์เยื่อและกระดาษ (Pulp and Paper Products) SCGP มีกลุ่มลูกค้าที่กระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารแช่แข็งและอาหารบรรจุกระป๋อง สินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุตสาหกรรม จุดเด่นของ SCGP คือการมีสินค้าและบริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนากว่าปีละ 500 ล้านบาทต่อปี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ในประเทศและต่างประเทศ SCGP เริ่มต้นจากการทำธุรกิจเยื่อกระดาษตั้งแต่ปี 2518 ต่อมาก็ได้ขยายธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น รวมถึงการควบรวมกิจการทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2558 ได้ปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจและพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ปัจจุบัน SCGP มีโรงงานใน 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน คือ ประเทศไทย มียอดขายภายในประเทศร้อยละ 52 และอีกร้อยละ 48 เป็นรายได้จากธุรกิจในต่างประเทศ SCGP มุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องผ่านการขยายกำลังการผลิต (Organic Growth) และการควบรวมกิจการ (Inorganic Growth) ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ทำให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งจากการผนึกกำลังร่วมกัน (Synergy) ที่มีประสิทธิภาพ ขยายฐานลูกค้าออกไปได้กว้างมากขึ้น เพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองผู้บริโภคและลูกค้าทุกอุตสาหกรรม ประหยัดเวลาในการสร้างธุรกิจใหม่ สามารถรับรู้รายได้และกำไรในทันที และในส่วนของการเติบโตผ่านการขยายกำลังการผลิตนั้น SCGP ได้เพิ่มสัดส่วนการขายในหมวดอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตสูงตาม Mega Trend ให้มากขึ้น เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจการบริการด้านอาหาร และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โอกาสเติบโตของ SCGP การเติบโตของบรรจุภัณฑ์ถือเป็น Mega Trend หนึ่งของโลก ซึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะ E-commerce, Food Delivery และ Healthcare โดยจากข้อมูลของ Frost & Sullivan พบว่ามูลค่าตลาด E-commerce (มูลค่าสินค้าทั้งหมด) ในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ ในปี 2562-2567 สามารถเติบโตได้ถึงประมาณร้อยละ 23.8 ต่อปี นอกจากนี้ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ ยังมีแนวโน้มในการเติบโตของการบริโภคภาคครัวเรือนในอัตราที่สูงขึ้น โดยจากการคาดการณ์ของ Frost & Sullivan พบว่าประเทศทั้ง 4 จะมีจำนวนประชากรรวมกันมากถึง 570.6 ล้านคน ในปี 2567 รวมทั้งคาดการณ์การบริโภคในครัวเรือนทั้งหมดในประเทศดังกล่าวว่า จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 6.4 ในระหว่างปี 2562-2567 สอดคล้องกับอัตราการใช้บรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนที่คาดว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีก ปัจจุบันเป็นยุคที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มใส่ใจในผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น การที่ SCGP ยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ทำให้มีการใช้ทรัพยากรและวัตถุดิบได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด IPO เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจ การเข้า IPO จะทำให้ SCGP สามารถขยายธุรกิจได้อย่างเต็มรูปแบบมากยิ่งขึ้น ผ่านการขยายกำลังการผลิต ทั้งในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะเสริมศักยภาพให้ธุรกิจของ SCGP มีความครบวงจร และสามารถเติบโตไปกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียน สำหรับการ IPO นั้น หุ้นของ SCGP จะเข้ามาเป็นหุ้นจดทะเบียนในตลาด SET หมวดสินค้าอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะมีจำนวนหุ้นเพิ่มทุนคิดเป็นร้อยละ 26.5 ของจํานวนหุ้นสามัญที่ออกและชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ หลัง IPO (ไม่รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทฯ ในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ความเสี่ยง อุตสาหกรรมนี้ยังสามารถเติบโตตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ ทั้งนี้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงในด้านคุณภาพของสินค้าและบริการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า ความเสี่ยงคือธุรกิจต้องมีจุดเด่นทางด้านอื่นที่เหนือคู่แข่ง ซึ่ง SCGP ได้ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้น Customer-Centricity หรือการดำเนินงานโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยการพัฒนานวัตกรรมสินค้า รวมถึงบริการและโซลูชันที่ครอบคลุมและตอบโจทย์การใช้งานบรรจุภัณฑ์ซึ่งสร้างความโดดเด่นและแตกต่างไม่เหมือนใครให้แก่ลูกค้าและผู้บริโภค นอกจากนี้ SCGP ยังมีความแข็งแกร่งเรื่องช่องทางการจัดจำหน่าย นวัตกรรมสินค้าและบริการ การกระจายความเสี่ยงไปในหลายประเทศ หลายอุตสาหกรรม และหลายประเภทสินค้า ทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงเหล่านี้ลดลง ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผลการดำเนินที่ผ่านมาถือว่า SCGP สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร โดยภาพรวมล่าสุดในงวดครึ่งปีแรก SCGP มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 45,903 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญก็มาจากการควบรวมกิจการและยอดขายบรรจุภัณฑ์ของกลุ่ม E-commerce, Food Delivery ผลิตภัณฑ์อาหารส่งออก สินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ สัดส่วนรายได้ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร : ร้อยละ 84.0 ธุรกิจเยื่อและกระดาษ : ร้อยละ 16.0 รายได้จากการขาย ปี 2559 : 74,542 ลบ. ปี 2560 : 81,455 ลบ. ปี 2561 : 87,255 ลบ. ปี 2562 : 89,070 ลบ. ครึ่งปีแรก 2563 : 45,903 ลบ. กำไรสุทธิ ปี 2559 : 3,285 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 4.4) ปี 2560 : 4,425 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 5.4) ปี 2561 : 6,065 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 6.9) ปี 2562 : 5,269 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 5.9) ครึ่งปีแรก 2563 : 3,636 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 7.9) เรามารอดูวัน IPO กันครับว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไหร่ หมายเหตุ บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำหรือแนะนำให้ซื้อ ถือหรือขายหุ้นแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน รายละเอียดเพิ่มเติม https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=282407&lang=th https://scgp.listedcompany.com/misc/mdna/20191231-scgp-mdna-fy2019-th.pdf https://investor.scgpackaging.com/th
INVESTOR RELATIONS Boost Confidence via Factual Storytelling
As SCG Packaging is officially on its way into the Thai stock market, it is now preparing itself for initial public offering (IPO). At such crucial juncture, it is necessary for the firm to communicate efficiently with investors/stakeholders. The firm’s Investor Relations (IR) team, therefore, has got a big role to play. In this volume, a LOT interviews the firm’s Investor Relations Director Wachara Iamsakun and Investor Relations Associate Directors Vikorn Phongsathorn, Panadda Sukpanthavorn and Vimonmarn Krishnakalin to get to know more about their unit. Investor Relations – Roles and Challenges The IR team says the firm’s shares will be sold at IPO so as to raise fund for its business growth. In this regard, IR team is responsible for releasing accurate and complete key information such as information on SCG Packaging’s business operations, products and services, competitiveness, and potential for investors, analysts, and stakeholders to make a decision. Major challenges for the task surround the mission to promote the right understanding among outsiders. “IR is a link between outsiders and the firm. We have to engage in two-way communications with the right balance. We communicate with both outsiders and our own staff. Information received from others must be communicated to SCG Packaging so that the firm can make improvements,” Panadda explains. Knowing SCG Packaging & Understanding Investors Vikorn says IR team focuses on “giving information in an easy-to-understand way, making listeners see the picture,” and keeping pace with trends and consumers’ changing behaviors. “We have also customized our delivery of information to suit the needs of each target,” he reveals. Vimonmarn adds that, “Communications with outsiders let us see the actual value of our own firm. When outsiders have questions, we will find out answers for them.” Flexible & Ready for Anything COVID-19 has changed the IR team’s way of working significantly. Team members, however, have overcome emerging obstacles on the basis of flexibility and ability to adapt fast to new circumstances. Panadda considers flexibility, teamwork and communication skills as key factors to keep works going during COVID-19 situation. “Everyone must be dynamic and able to work from anywhere. We may not be able to host any big events these days. But with internet and smartphones, we can organize virtual meetings,” Vikorn says. Mellow Blend of Differences All members of the IR team have abilities and knowledge useful to its mission. Although they are not similar in all aspects, their differences prove to be assets. “Differences, when blended, are mellow,” Wachara says. Panadda, meanwhile, says her team members are open-minded, ready to take up challenges, and have positive thinking. “Teamwork and Handle with Care makes us work so happily,” she quips. Vikorn says the IR team looks for diversity and outgoing personality from its members too. “Our members can come together, like different LEGO pieces, and form a formidable structure,” Wachara says.
สร้างความเชื่อมั่นด้วยบทบาท Factual Storytelling
จากการที่เอสซีจี แพคเกจจิ้ง เตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้น IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แน่นอนว่ารายละเอียดที่นักลงทุนรวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องการทราบ จำเป็นจะต้องถูกสื่อสารออกไปอย่างตอบโจทย์ นั่นคือจุดที่ทำให้ทีม Investor Relations (IR) เข้ามามีบทบาทสำคัญ a LOT เล่มนี้จึงชักชวนพี่โต้ง – วัชระ เอี่ยมสกุล Investor Relations Director ฝ้าย – วิกร พงศธร บี – ปนัดดา สุขพันธุ์ถาวรและเปิ้ล – วิมลมาลย์ กฤษณะกลิน Investor Relations Associate Director มานั่งคุยกัน ทั้งสี่จะช่วยให้เรารู้จักกับหน่วยงานนี้ดียิ่งขึ้น Investor Relations – บทบาทและความท้าทาย ทีม IR เริ่มต้นเล่าว่า การเสนอขายหุ้น IPO ก็คือการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อนำเงินของนักลงทุนที่สนใจมาขยายธุรกิจให้เติบโตในอนาคต ซึ่งภารกิจหลักของทีม IR คือการสร้างความเข้าใจและความรับผิดชอบต่อการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญบนพื้นฐานการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน แก่นักลงทุน นักวิเคราะห์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่นข้อมูลด้านการดำเนินธุรกิจ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ เป็นต้นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน ความท้าทายของทีมคือ การสร้างความเข้าใจกับคนภายนอก “IR เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างบุคคลภายนอกกับบริษัทฯ ซึ่งโจทย์ ที่สำคัญไม่เพียงแค่เราจะสื่อสารเรื่องราวของบริษัทให้คนภายนอกเข้าใจได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นคือ การสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) นั่นทำให้ทีมต้องบาลานซ์ระหว่างคนในบริษัทกับบุคคลภายนอก เรารับฟังความคิดเห็นจากคนภายนอกและนำมาสะท้อนให้กับบริษัท เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ภายในบริษัทให้ดีขึ้นยิ่งขึ้น” บีเสริม รู้จักบริษัท – เข้าใจนักลงทุน ฝ้ายอธิบายกลยุทธ์ในการเล่าเรื่องให้น่าสนใจว่า ทีม IR นิยามวิธีการเล่าเรื่องให้บุคคลภายนอกรู้จักบริษัทเราว่าจะต้อง “เล่าให้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่าย” เพื่อให้ทันกับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เล่าเรื่องให้น่าสนใจคืออะไร? “เหมือนเวลาเราไปตัดสูททุกตัวจะไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกัน เวลาที่เรา Customize ตัวกล่องให้กับลูกค้า ทุกกล่องทุกแบบก็จะไม่เหมือนกันแล้วแต่ความต้องการของลูกค้า” ประเด็นเดียวกันนี้ เปิ้ลเสริมว่า “กลยุทธ์ในการสื่อสารกับบุคคลภายนอก ท้ายที่สุดแล้วจะสะท้อนให้เห็นมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ทีม IR เป็นคนนำโจทย์ที่คนภายนอกอยากรู้มาหาคำตอบเพื่อสื่อสารกลับออกไปซึ่งเขาจะสามารถสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้” ยืดหยุ่น รับทุกสถานการณ์ จากสถานการณ์ช่วงโควิด-19 แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการทำงานไปพอสมควร แต่ทีมมองข้ามอุปสรรคหรือข้อจำกัดที่เกิดขึ้นและเดินหน้าต่อไปเพราะทุกคนสามารถทำงานได้ทุกที่ มีความยืดหยุ่นสูง และปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว บีแชร์เรื่องการปรับตัวว่า สิ่งสำคัญคือ Flexibility และ Teamwork รวมถึงเรื่องการสื่อสารสถานการณ์วิกฤติเข้ามาเป็นตัวเร่งให้ทุกอย่างเปลี่ยนการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์จึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง “ทุกคนต้องมี Dynamic และสามารถทำงานได้ทุกที่ เพราะปัจจุบันมีทั้งสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตที่ช่วยสร้างความสะดวก ความท้าทายคือเราพยายามปรับเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่น งานอีเว้นต์ใหญ่ ๆ ที่ยังไม่สามารถทำได้ ก็ปรับมาใช้รูปแบบ Virtual Meeting มากขึ้น” ฝ้ายเสริม แตกต่างอย่างกลมกล่อม “ความแตกต่าง เมื่อมารวมกันมันอร่อยกลมกล่อมขึ้น” พี่โต้งกล่าว นอกจากความรู้ความสามารถเฉพาะตัวของทุกคนในทีมจะเอื้อประโยชน์ต่อการทำงานแล้ว คุณสมบัติที่แตกต่างกันของพวกเขายังเป็นตัวขับเคลื่อนให้ทีมทำงานได้อย่างราบรื่นอีกด้วย บีเสริม “จุดเด่นของเราคือการ Open and Challenge หรือการเปิดใจ รวมถึง Positive Thinking ด้วย ไม่ใช่โลกสวยนะ แต่มองโลกตามความเป็นจริง ทั้งยังมีเรื่องของ Teamwork และ Handle with Care ที่ช่วยให้เราทำงานกันอย่างมีความสุข” ฝ้ายเพิ่มเติมในเรื่องของคนว่า ลักษณะทั่วไปของคนที่ทีมมองหาต้องเป็นคนที่ Outgoing และยินดีที่จะ Engage คนใหม่ ๆ จุดสำคัญคือทีมต้องมี Diversity เพราะจะช่วยสร้าง Dynamic ที่ดี “ทุกคนช่วยเสริมกัน เหมือนสร้างบ้านด้วยเลโก้ แต่ละชิ้นไม่เหมือนกันแต่พอมารวมกันมันกลายเป็นบ้านครับ” พี่โต้งปิดท้าย
Fest Chill : The Right Choice for Food Deliveries
Today, food-delivery platforms have enjoyed growing popularity as consumers appreciate the convenience of having food sent to their place. It can be said that food-delivery businesses have now been booming. As a leader of food safety packaging business, Fest has developed “Fest Chill” as a solution to restaurants and food-delivery operators that care about hygiene,safety and environmental friendliness. Fest Chill is made of eucalyptus pulp from commercial afforestation. It comes with high strength and hot food containable up to 130 degrees Celsius, suitable for all kinds of food. It is not only hygienic but also environmentally friendly, which makes it good for consumers, business and environment as well. Fest Chill can be chilled at a temperature of up to five degrees Celsius. For disposal, it is very easy to remove film from Fest Chill box. Fest Chill is microwavable at a maximum of 800 Watts for 3 minutes. Plastic film is recyclable. Other parts of Fest Chill package are biodegradable on their own within 60 days. Fest Chill strong structure is suitable for food deliveries. Fest Chill Food Safety Packaging is available at Fest Shop, SCG headquarters in Bangsue area or www.festforfood.com For more information, please browse to www.facebook.com/fest, LINE @festforfood or contact call center 0-2586-1000.
Unlimited Solutions through Innovative Mindset
Innovative mindset encourages learning and efforts to develop solutions. Thanks to such a mindset, great innovations like DOM (Detect Odor & Monitoring) have been created. Designed to detect odor at industrial plants, SCGP’s DOM has won the National Innovation Award in Service Design category this year. Now, let’s hear directly from the DOM team about its truly innovative mindset. “We believe DOM will support smooth business operations. In the past, odor problems had often been issues between factories and communities and there was no efficient device to check the odor. Our DOM has great accuracy. So, the device will detect odor even before it becomes an issue. “Our innovation responds to not just business purposes but also social and environmental care. It materializes because of our innovative mindset. We understand problems and seek to overcome any challenges in our keen pursuit of solutions. Innovative mindset will help any innovator. As for our team, we intend to constantly improve our DOM so that it becomes widely used for good causes.” Dr. Thipnakarin Boonfueng – Senior Researcher / Environmental Technology Specialist, Product & Technology Development Center “We started developing DOM because of odor at our plant. “Aware of the odor, our plant had used various odor-detection products before but they had failed to completely eradicate the problem. However, our comprehensive research and serious development have made a difference. Our DOM can detect odor, monitor it, and even assess its impacts. “One big challenge in DOM development is that factories have different kinds of odor. To ensure efficiency, we study the problem case by case. We adapt and adjust fast to provide each of our customers with the best DOM.” Mr. Wuttinan Lerkmangkor – Researcher, Product & Technology Development Center
SCGP IPO Roadshow Exhibition : Beating Every Challenge with “Growth Mindset”
SCGP IPO Roadshow Exhibition has materialized impressively with its exhibition area covering more than 1,000 square meters, despite very limited time for preparations, Its success underlines scgp’s fierce determination to deliver its concepts in a tangible way. P-DNA interviews a team behind this grand exhibition to look into their work approach and mindset in the hope of bringing everyone on board scgp’s journey to become ASEAN’s total packaging solutions provider that can satisfy people of all generations. Packaging in Everyday Life The goal of SCGP IPO Roadshow is to make investors know more about SCGP or SCG Packaging Public Company Limited. “Some people may not notice that most items in our daily life are packages. Look at a cup for your coffee, a bag for your food, and boxes containing products you have ordered online. If you visit our exhibition, you will realize that SCGP has products and services that respond to consumers’ lifestyles in every aspect. “When we designed this exhibition, we applied customer centric approach like when we designed a packaging. We focused on what customers would get. Our concept is Packaging in Everyday Life + SCGP, which is ASEAN’s total packaging solutions provider that can satisfy people of all generations. Our exhibition recreates daily-life experiences, which cover commuting, working, dining, shopping, and product transportation and highlights the value people are looking for. For example, a small family uses our EzySteam for easy meals. With this packaging, microwave heating needs just two minutes and food content does not get dried out. For booming e-commerce, SCGP has various types of packaging. “Outside home, safety is keyword. We need to protect content particularly food well. When consumers step into a supermarket, SCGP is also there. Packages by SCGP are designed structurally and aesthetically to add value to products and benefits to consumers. “Last but not least, our exhibition highlights SCGP’s focus on innovate and sustainability. We provide not just packaging but better quality of life. For instance, SCGP has produced Aquacella (eucalyptus-based alcohol gel), skin-closure tape, and face-mask filters, etc. Driven by our unique mindset, SCGP has embraced Circular Economy with CSR in process in pursuit of sustainability.” Journey of Growth and Sustainability “The last part of our exhibition is the Journey of Growth tunnel, which summarizes haw you can grow with SCGP. The tunnel presents SCGP growth and boosts investors’ confidence. Because we are parts of consumers’ daily life, we have solid potential and operate sustainable businesses.” Every Square Inch is a Challenge It was not easy to design an exhibition that spanned over more than 1,000 square meters with clear-cut concept. Yet, the team behind the exhibition feels proud about beating obstacles along the way. “Overscale Landmarks in front of the exhibition were designed to showcase our designers’ talents as well as paper potential. These landmarks are huge and match well with the size of the exhibition. More than 10 staff helped assemble each piece.” “Another challenge was Social Distancing. It was necessary to deliver an interesting message within a short time for each booth to ensure it would not be crowded. It was also very challenging to manage staff and time in the face of tight deadline and uncertain situation. “During preparatory stage, we did not know what would actually happen in the face of the fast-changing COVID-19 situation. We were not sure if we would have to hold just a virtual exhibition. But we made sure we were well prepared for any scenario. Finally, we got the confirmation that a real exhibition could take place just three days in advance and we managed to go ahead with the hybrid event. All were arranged within a budget too.” Growth Mindset: Key to Success The team’s Key to Success is its “Growth Mindset”. “The situation kept changing. But we simply considered uncertainties a challenge, something we had to deal with and find a solution. We have never given up because we have had Growth Mindset. We know we need to be flexible and adaptive. We do our best in all circumstances. “Collaboration and Teamwork are key ingredients for our success. With shared goal, empathy, and respect for one another, we have achieved synergy. We support one another along the way for our success. “Even though the exhibition mission has so many obstacles, it has benefited us. At the end of the mission, we have realized that we have strengthened our Growth Mindset and become well ready to turn every challenge into a success. We also feel proud of ourselves and grateful to everyone who has supported us. With SCGP IPO Roadshow, we truly prosper alongside SCGP.”
Hale’s Blue Boy Sweet Delight That Serves Quality for Well Over 60 Years
At the mention of “Hale’s Blue Boy”, the great taste of syrup pops up in the mind of many. Although there are several syrup brands in the Thai market, Hale’s Blue Boy has won the hearts of all generations with its distinctive delicious taste and fragrance. Its slogan “Sweet Delight” is well remembered among Thais for more than 60 years now. Mr. Damrong Pattanaanek, general manager of Hales Trading (Thailand) Company Boy is quality”. Sweet Quality Founded by four brothers more than six decades ago, Hale’s Blue Boy entered the market to deliver alternative drinks. Back then, the Thai market was mainly dominated by carbonated beverages but this brand by Mr. Damrong’s father and uncles offered syrup drink in two flavors – Sala and Cream Soda. The brand has moved its manufacturing base to the Bangchan Industrial Estate in Bangkok’s Min Buri district since 1978. “Today, we have syrup in nine flavors. At the heart of our brand are quality and deliciousness. We keep them intact no matter what,” Mr. Damrong quips. According to this executive, his firm has accorded importance to safety and hygiene throughout manufacturing process. Ingredients are well-selected. Every factory under the firm is certified based on Good Manufacturing Practice (GMP) standards. Its products and used water are also submitted to the Department of Medical Sciences for tests on a regular basis to prevent contamination. Although Hale’s Blue Boy sales dropped in the wake of COVID-19 outbreak last year, product quality has been strictly upheld. “We minimize adverse impacts by improving manufacturing efficiency and reskilling our staff,” Mr. Damrong explains. Happiness Delivered Through Packaging Bottles and labels of Hale’s Blue Boy syrup may hardly change over time. But its packaging has been upgraded all the time based on “Sweet Delight” concept. Beautiful graphics on corrugated- paper packaging feature happy parties among friends/family members. “SCGP has designed these boxes for us, changing graphics over time to deliver messages that we would like to communicate with consumers in each era,” Mr. Damrong points out, “We have now created gift sets too with bright graphics on the packages, which are made of recycled materials. Responding to our needs, SCGP designs are just perfect”. In his view, packaging plays a very important role in marketing because it can encourage or expedite purchase decisions on top of adding value to products. “Packages are designed not just to contain our products. They present our image too,” Mr. Damrong adds. Sincere Partner Hale’s Trading (Thailand) has considered SCGP its partner for caringly providing packaging for each of its syrup bottles. Featuring quality prints and design, the well-designed package efficiently protects its content. “SCGP is highly reliable. Its boxes work well even though each one has to carry the weight of 24 kilos. Made of corrugated paper, it can also support stacking up over a long time,” Mr. Damrong explains. He adds that, “We are also impressed with SCGP’s corporate culture. Its team works closely with customers and prove very trusting. Sincere counseling and services make us stay with SCGP. We feel like SCGP is a friend and a partner”. Mr. Damrong continues that he also trusts SCGP because it has a research and product development units plus a big pool of talents. “We are confident that SCGP will continue producing innovations and solutions for our business,” he concludes.