SCGP Newsroom

เฟสท์ เดลี่ (Fest Daily) บรรจุภัณฑ์กระดาษสีน้ำตาลรักษ์โลก สะอาด ปลอดภัย ผลิตจากเยื่อใหม่ 100%

เฟสท์ เดลี่ (Fest Daily) บรรจุภัณฑ์กระดาษสีน้ำตาลภายใต้แบรนด์บรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยเฟสท์ ผลิตจากเยื่อใหม่ 100% จึงสะอาด ปลอดภัย สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะสามารถนำไปรีไซเคิลได้ นอกจากนี้ ยังมีรูปทรงให้เลือกใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทั้งแบบกล่อง ถ้วยปากกว้าง และถาด จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย และยังใส่ใจในสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

บรรจุภัณฑ์เฟสท์ เดลี่ มีคุณสมบัติครบครันตามแบบฉบับของบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยเฟสท์ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติในการสัมผัสอาหารได้โดยตรง ทนน้ำ ทนน้ำมัน ไม่ละลาย สามารถนำไปบรรจุอาหารร้อนได้สูงสุดถึง 100 องศาเซลเซียส จึงเหมาะกับอาหารหลากหลายประเภท ทั้งอาหารไทยที่มีส่วนผสมของน้ำและน้ำมัน หรือขนมหวานและเบเกอรี่ ก็สามารถบรรจุได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องกลัวรั่วหรือปนเปื้อนสารเคมีใด ๆ มั่นใจได้ในความสะอาดและปลอดภัย

บรรจุภัณฑ์เฟสท์ เดลี่ ยังถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานที่ง่ายและสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นรูระบายไอน้ำที่ช่วยให้ไม่ต้องปาดฝากล่อง ขอบกล่องที่ปิดสนิท และเทคโนโลยีคลิกล็อก เพื่อลดการใช้หนังยางรัดกล่อง บรรจุภัณฑ์แข็งแรง และสามารถเรียงซ้อนได้อย่างดี เหมาะแก่การส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่อีกด้วย

นอกจากคุณสมบัติด้านการใช้งานที่หลากหลายและและปลอดภัยแล้ว บรรจุภัณฑ์เฟสท์ เดลี่ ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะสามารถนำกลับไปเข้ากระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งได้ หากได้รับการจัดการขยะและคัดแยกอย่างเหมาะสม

บรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยเฟสท์ วางจำหน่ายที่ร้านจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ทั่วประเทศ และ Fest Shop เอสซีจี สำนักงานใหญ่ บางซื่อ นอกจากนี้ สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ http://www.festforfood.com สั่งง่าย สะดวกสบาย พร้อมบริการส่งสินค้าถึงที่

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/fest, Line @festforfood หรือ Call Center 0-2586-1000

SCGP พัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค เปิดตัว OptiBreath® บรรจุภัณฑ์คงความสดใหม่ และ Odor LockTM บรรจุภัณฑ์เก็บกลิ่นอาหาร

SCGP วิจัยและพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารตอบสนองไลฟ์สไตล์ ช่วยแก้ไขปัญหาและเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้าและผู้บริโภค เปิดตัว OptiBreath® นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์จาก SCGP ที่ช่วยเก็บรักษาความสดใหม่ของผักและผลไม้ได้นานขึ้น และ Odor LockTM นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกชนิดพิเศษ สามารถเก็บกลิ่นอาหารและผลไม้ ขจัดปัญหาการเกิดไอน้ำเมื่อต้องแช่ไว้ในตู้เย็น ต้อนรับเข้าสู่ฤดูกาลผลไม้

SCGP ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมที่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่ลูกค้าและผู้บริโภค เพิ่มจุดขายให้แก่สินค้า  ตลอดจนช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต เช่น การพัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารที่สามารถอุ่นในเตาไมโครเวฟโดยไม่ต้องตัด หรือเปิดถุงก่อนอุ่นอาหาร การพัฒนาฝาปิดภาชนะบรรจุภัณฑ์ที่สามารถลอกออกได้ง่าย นับเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน

ล่าสุด SCGP ได้วิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารที่เป็นนวัตกรรมใหม่ออกสู่ตลาด เพื่อช่วยให้ลูกค้าและผู้บริโภคสามารถยืดระยะเวลาคงความสดใหม่ของผักและผลไม้ได้นานขึ้น โดยเปิดตัว OptiBreath® นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารจาก SCGP ที่ยืดอายุความสดใหม่ของผักและผลไม้ ด้วยหลักการควบคุมการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างภายในและภายนอกถุงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ช่วยลดการเกิดเชื้อจุลินทรีย์จึงสามารถคงคุณภาพสินค้า รักษาความสดใหม่ คุณค่าสารอาหารและสัมผัสรสชาติที่ดีเป็นระยะเวลานานขึ้น โดยสามารถคงความสดใหม่ให้แก่ผักเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 3-5 วัน และผลไม้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 7-11 วัน ช่วยลดต้นทุนในการจัดเก็บและเพิ่มโอกาสการขายสินค้าไปยังต่างจังหวัดหรือส่งออกต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการจัดส่งมากกว่าปกติ

ขณะเดียวกันได้เปิดตัว Odor LockTM นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่สามารถเก็บกลิ่นอาหารหรือผลไม้ โดยผลิตจากพลาสติก
ชนิดพิเศษที่สามารถป้องกันกลิ่นอาหารออกมารบกวน เช่น ทุเรียน น้ำพริก ปลาเค็ม เป็นต้น และช่วยแก้ไขปัญหาแก่ผู้บริโภคที่ต้องการจัดเก็บอาหารที่มีกลิ่นแรงไว้ภายในช่องเดียวกัน โดยมีให้เลือกทั้งแบบถุงซีล 3 ด้านและถุงจีบ สามารถปิดผนึกได้ง่ายด้วยความร้อน นอกจากนี้ยังได้รับการวิจัยและพัฒนาให้สามารถแช่เย็น หรือแช่ในน้ำแข็งได้โดยไม่มีปัญหาน้ำซึมผ่านเข้าไปในถุง สามารถแช่ในตู้เย็นได้โดยไม่เกิดไอน้ำภายในถุง จึงไม่สูญเสียรสชาติอาหาร

บรรจุภัณฑ์อาหารที่เป็นนวัตกรรมใหม่ทั้ง 2 รายการ สามารถแก้ปัญหาและเพิ่มประโยชน์การใช้งานของลูกค้าและผู้บริโภค โดยยืดระยะเวลาความสดใหม่ของผักและผลไม้ได้นานขึ้นและเก็บรักษากลิ่นอาหารไม่ให้รบกวน สามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบอาชีพจำหน่ายผัก ผลไม้ สามารถจัดส่งไปถึงผู้รับในพื้นที่ห่างไกลและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าได้เป็นอย่างดี สามารถสอบถามและติดต่อได้ที่โทร. 065-651-6953

เก็บกลิ่นกวนใจ เลือกใช้ Odor Lock

บรรจุภัณฑ์ต้านการปล่อยกลิ่น Odor Lock ผลิตจากพลาสติกชนิดพิเศษที่มีความต้านทานต่อการซึมผ่านของกลิ่นไม่พึงประสงค์ ป้องกันไม่ให้กลิ่นจากภายในบรรจุภัณฑ์ส่งผ่านออกมาภายนอก สามารถเก็บอาหารที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อย่างดี เช่น ทุเรียน ปลาร้า ปลาเค็ม ปลาหมึกแห้ง กุ้งแห้ง หอมหัวแดง กระเทียม น้ำพริก กะปิ หอยดอง ปูเค็ม และอาหารสัตว์ เป็นต้น หมดกังวลเรื่องกลิ่นกวนใจ มั่นใจได้ว่าอาหารที่บรรจุภายในบรรจุภัณฑ์ Odor Lock จะไม่ส่งกลิ่นกวนใจในระหว่างขนส่งหรือเดินทาง นอกจากนี้ ยังช่วยลดปัญหาเรื่องการเก็บผลิตภัณฑ์หรืออาหารประเภทดังกล่าวร่วมกันแล้วส่งกลิ่นรบกวนจนไม่สามารถเก็บร่วมกันได้อีกด้วย

 

บรรจุภัณฑ์ต้านการปล่อยกลิ่น Odor Lock มีมาให้เลือกทั้งแบบถุงซีล 3 ด้าน (3 side seal) หรือแบบถุงจีบ จึงสามารถเลือกใช้อย่างหลากหลายขึ้นอยู่กับความต้องการ สามารถปิดผนึกได้ง่ายด้วยความร้อนหรือ Heat Seal จึงหมดปัญหาความกังวลเรื่องความปลอดภัยจากการปนเปื้อนอีกด้วย นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ Odor Lock สำหรับขายทั่วไปยังมาในขนาดที่ใช้งานได้ง่าย คือ 23 x 45 x 12 ซม. บรรจุภัณฑ์ 1 ถุงสามารถบรรจุทุเรียนได้ 1 กิโลกรัม หรือประมาณ 3-4 พู

บรรจุภัณฑ์ Odor Lock สามารถป้องกันกลิ่นทุเรียนไม่ให้ออกมานอกถุงได้อย่างมั่นใจ ทำให้สามารถซื้อทุเรียนแล้วหิ้วกลับบ้านได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นรบกวน นอกจากนี้ Odor Lock ยังช่วยคงความสดใหม่ของทุเรียนไม่ให้เสียรสชาติและรสสัมผัสในขณะจัดเก็บได้อีกด้วย

นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ Odor Lock ยังถูกออกแบบมาให้สามารถแช่เย็นหรือแช่ในน้ำแข็งได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาน้ำซึมผ่านถุง และสามารถนำเข้าเก็บในตู้เย็นได้โดยไม่มีไอน้ำเกาะ อาหารจึงยังน่ารับประทาน และไม่เสียรสชาติหรือรสสัมผัสที่เกิดจากไอน้ำจากการแช่เย็นอีกด้วย ทั้งนี้ ควรเปิดรับประทานภายใน 7 ชั่วโมง เพื่อรสชาติความอร่อยเหมือนเพิ่งซื้อมาใหม่ ๆ

 

สามารถสอบถามและสั่งซื้อติดต่อ 065-651-6953

INVESTOR RELATIONS สร้างความเชื่อมั่นด้วยบทบาท Factual Storytelling

จากการที่่เอสซีจี แพคเกจจิ้ง เตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้น IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แน่นอนว่ารายละเอียดที่นักลงทุนรวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องการทราบ จำเป็นจะต้องถูกสื่อสารออกไปอย่างตอบโจทย์ นั่นคือจุดที่ทำให้ทีม Investor Relations (IR) เข้ามามีบทบาทสำคัญ a LOT เล่มนี้จึงชักชวน พี่โต้ง – วัชระ เอี่ยมสกุล Investor Relations Director ฝ้าย – วิกร พงศธร บี – ปนัดดา สุขพันธุ์ถาวร และ เปิ้ล – วิมลมาลย์ กฤษณะกลิน Investor Relations Associate Director มานั่งคุยกัน ทั้งสี่จะช่วยให้เรารู้จักกับหน่วยงานนี้ดียิ่งขึ้น

 

Investor Relations – บทบาทและความท้าทาย

ทีม IR เริ่มต้นเล่าว่า การเสนอขายหุ้น IPO ก็คือการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อนำเงินของนักลงทุนที่สนใจมาขยายธุรกิจให้เติบโตในอนาคต ซึ่งภารกิจหลักของทีม IR คือการสร้างความเข้าใจและความรับผิดชอบต่อการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญบนพื้นฐานการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน แก่นักลงทุน นักวิเคราะห์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่นข้อมูลด้านการดำเนินธุรกิจ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ เป็นต้นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน

ความท้าทายของทีมคือ การสร้างความเข้าใจกับคนภายนอก “IR เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างบุคคลภายนอกกับบริษัทฯ ซึ่งโจทย์ ที่สำคัญไม่เพียงแค่เราจะสื่อสารเรื่องราวของบริษัทให้คนภายนอกเข้าใจได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นคือ การสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) นั่นทำให้ทีมต้องบาลานซ์ระหว่างคนในบริษัทกับบุคคลภายนอก เรารับฟังความคิดเห็นจากคนภายนอกและนำมาสะท้อนให้กับบริษัท เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ภายในบริษัทให้ดีขึ้นยิ่งขึ้น” บีเสริม

 

รู้จักบริษัท – เข้าใจนักลงทุน

ฝ้ายอธิบายกลยุทธ์ในการเล่าเรื่องให้น่าสนใจว่า ทีม IR นิยามวิธีการเล่าเรื่องให้บุคคลภายนอกรู้จักบริษัทเราว่าจะต้อง “เล่าให้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่าย” เพื่อให้ทันกับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เล่าเรื่องให้น่าสนใจคืออะไร? “เหมือนเวลาเราไปตัดสูททุกตัวจะไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกัน เวลาที่เรา Customize ตัวกล่องให้กับลูกค้า ทุกกล่องทุกแบบก็จะไม่เหมือนกันแล้วแต่ความต้องการของลูกค้า”

ประเด็นเดียวกันนี้ เปิ้ลเสริมว่า “กลยุทธ์ในการสื่อสารกับบุคคลภายนอก ท้ายที่สุดแล้วจะสะท้อนให้เห็นมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ทีม IR เป็นคนนำโจทย์ที่คนภายนอกอยากรู้มาหาคำตอบเพื่อสื่อสารกลับออกไปซึ่งเขาจะสามารถสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้”

 

ยืดหยุ่น รับทุกสถานการณ์

จากสถานการณ์ช่วงโควิด-19 แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการทำงานไปพอสมควร แต่ทีมมองข้ามอุปสรรคหรือข้อจำกัดที่เกิดขึ้นและเดินหน้าต่อไปเพราะทุกคนสามารถทำงานได้ทุกที่ มีความยืดหยุ่นสูง และปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

บีแชร์เรื่องการปรับตัวว่า สิ่งสำคัญคือ Flexibility และ Teamwork รวมถึงเรื่องการสื่อสารสถานการณ์วิกฤติเข้ามาเป็นตัวเร่งให้ทุกอย่างเปลี่ยนการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์จึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง

“ทุกคนต้องมี Dynamic และสามารถทำงานได้ทุกที่ เพราะปัจจุบันมีทั้งสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตที่ช่วยสร้างความสะดวก ความท้าทายคือเราพยายามปรับเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่น งานอีเว้นต์ใหญ่ ๆ ที่ยังไม่สามารถทำได้ ก็ปรับมาใช้รูปแบบ Virtual Meeting มากขึ้น” ฝ้ายเสริม

 

แตกต่างอย่างกลมกล่อม

“ความแตกต่าง เมื่อมารวมกันมันอร่อยกลมกล่อมขึ้น” พี่โต้งกล่าว นอกจากความรู้ความสามารถเฉพาะตัวของทุกคนในทีมจะเอื้อประโยชน์ต่อการทำงานแล้ว คุณสมบัติที่แตกต่างกันของพวกเขายังเป็นตัวขับเคลื่อนให้ทีมทำงานได้อย่างราบรื่นอีกด้วย

บีเสริม “จุดเด่นของเราคือการ Open and Challenge หรือการเปิดใจ รวมถึง Positive Thinking ด้วย ไม่ใช่โลกสวยนะ แต่มองโลกตามความเป็นจริง ทั้งยังมีเรื่องของ Teamwork และ Handle with Care ที่ช่วยให้เราทำงานกันอย่างมีความสุข”

ฝ้ายเพิ่มเติมในเรื่องของคนว่า ลักษณะทั่วไปของคนที่ทีมมองหาต้องเป็นคนที่ Outgoing และยินดีที่จะ Engage คนใหม่ ๆ จุดสำคัญคือทีมต้องมี Diversity เพราะจะช่วยสร้าง Dynamic ที่ดี

“ทุกคนช่วยเสริมกัน เหมือนสร้างบ้านด้วยเลโก้ แต่ละชิ้นไม่เหมือนกันแต่พอมารวมกันมันกลายเป็นบ้านครับ” พี่โต้งปิดท้าย

PHOENIX LAVA ซาลาเปาแห่งการให้ ใส่ใจทุกประสบการณ์ของลูกค้า 1

จากเทรนด์ “ซาลาเปาลาวา” ที่เกิดขึ้นในฮ่องกง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณปริญญ์ สุขสมิทธิ์ เจ้าของและผู้ก่อตั้งร้าน “Phoenix Lava” เกิดแนวคิดและแรงบันดาลใจที่จะทำซาลาเปาแบรนด์ของคนไทย และตั้งเป้าเปิดสาขาทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงขยายแฟรนไชส์ในภูมิภาคเอเชีย

 

ทำไมถึงต้อง Phoenix Lava

คุณปริญญ์ สุขสมิทธิ์ เริ่มต้นเล่าที่มาของซาลาเปา Phoenix Lava ด้วยการพาเราย้อนไปสมัยที่เขาและน้องชายยังทำงานอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น พวกเขาใช้เวลาว่างจากการทำงานปรับสูตรซาลาเปาร่วมกัน รวมถึงศึกษาตลาดของประเทศไทยไปพร้อมกัน

หลังจากศึกษาก็พบว่า คนส่วนใหญ่มักซื้อซาลาเปาไปเป็นของฝากเป็นของว่างในงานจัดประชุม เป็นชุด Snack Box สำหรับงานจัดเลี้ยง ฯลฯ ควบคู่ไปกับการลงพื้นที่สำรวจร้านซาลาเปากว่า 300 ร้านในกรุงเทพฯ ทำให้เขาตัดสินใจวางจุดยืนให้กับแบรนด์ด้วยการเป็น “ซาลาเปาแห่งการให้” ภายใต้ชื่อแบรนด์ “Phoenix Lava” สื่อถึงการเปลี่ยนแปลงของวงการ ซาลาเปาด้วยนก Phoenix แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงและสิ่งใหม่ ๆ

“ผมโชคดีที่น้องชายและทีมมีความรู้ด้าน Food Science เราจึงเริ่มต้นจากการทำซาลาเปาลาวาก่อน ต่อมาก็ได้ทำติ่มซำเพิ่ม เพราะถือเป็นอาหารชุดเดียวกับซาลาเปา ก่อนที่จะพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้นเช่น ซาลาเปาที่พร้อมอุ่นทานในไมโครเวฟ”

ปัจจุบันร้าน Phoenix Lava มีสาขาในประเทศ 7 สาขา แฟรนไชส์3 สาขา และในต่างประเทศอีก 2 สาขา ที่มาเก๊า ประเทศจีน

 

ใส่ใจในแพคเกจจิ้ง

นอกจากพิถีพิถันเรื่องการคัดเลือกวัตถุดิบเพื่อให้ได้รสชาติซาลาเปาที่ดีที่สุดแล้ว Phoenix Lava ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างเอกลักษณ์และการจดจำแบรนด์ด้วย ตั้งแต่การเลือกใช้สีเหลืองใช้กล่องที่มีขนาดความยาว 37.5 เซนติเมตรเพื่อให้ใส่ตู้เย็นได้พอดี ติดสติกเกอร์ระบุรสชาติซาลาเปาไว้ที่ด้านหลังซอง เรียกว่าใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า

นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงการส่งมอบสินค้าและบริการ เพื่อคงคุณภาพสินค้าเช่นเดียวกับการมาซื้อที่หน้าร้าน โดยบริการส่งสินค้าจะเน้นความรวดเร็วและมีค่าบริการที่คุ้มค่าที่สุด

 

โควิด-19 ดันยอดพุ่ง

จากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 สาขาของ Phoenix Lava ที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าต้องปิดทำการไป 4 สาขา เพื่อปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ และเพื่อสร้างยอดขายให้กลับมา เขาจึงใช้วิธีเปิดสาขาขึ้นมาทดแทนด้วยการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด

ทางเลือกที่ได้คือการเช่าพื้นที่ในโซนที่ยังไม่มีสาขา และเช่าอาคารพาณิชย์ เพื่อทำเป็น Cloud Kitchen เพื่อกระตุ้นยอดขาย Delivery ซึ่งในปัจจุบัน Phoenix Lava มีสัดส่วน Delivery มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ การมีหน้าร้านในโลเกชั่นที่มีคนผ่านเยอะอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายอีกต่อไป เมื่อเทียบกับการมีหน้าร้านในทำเลที่ค่าเช่าพื้นที่ถูกลง สร้างยอดขายหน้าร้านได้ระดับหนึ่ง แต่สามารถ Delivery ให้ลูกค้าในโซนนั้น ๆ ได้อย่างกว้างขวางกว่า

เป้าหมายของการทำธุรกิจในปีนี้ คือ การช่วยให้ลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลสามารถสั่งซื้อ Phoenix Lava ด้วยค่าส่งเพียง 10 บาท และขยายจุดส่งที่เป็น Cloud Kitchen เพิ่มขึ้น ก่อนที่ในปี 2564 จะขยายแฟรนไชส์ออกไปยังจังหวัดต่าง ๆ เช่น ชลบุรี ระยอง จันทบุรี เป็นต้น

 

EzySteam™ อีกหนึ่งความใส่ใจ เพื่อแก้ไข Pain Point

คุณปริญญ์เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ร่วมกับเอสซีจี แพคเกจจิ้งว่าเขาและทีมวิจัยของเอสซีจี แพคเกจจิ้งมีแนวคิดที่ตรงกัน คือต้องการพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้า โจทย์แรกคือการทำถุงบรรจุซาลาเปาเพื่อให้ลูกค้านำไปอุ่นในไมโครเวฟได้ โดยยังคงรสชาติเหมือนการนึ่งด้วยไอน้ำ เพราะลูกค้าบางกลุ่มเน้นความสะดวกและรวดเร็ว

“การพัฒนา EzySteam™ ใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน กว่าจะเป็นถุง EzySteam™ ที่ใช้งานได้ดีอย่างทุกวันนี้ต้องผ่านการพัฒนากันมาถึงเวอร์ชั่นที่ 3 และเอสซีจี แพคเกจจิ้งยังคงติดตามผลการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นถึงความพยายามของทีม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชื่นชมอย่างมาก”

นอกจาก EzySteam™ แล้ว Phoenix Lava ยังใช้บริการ Dezpaxในการสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์ที่มีบริการออกแบบ Custom ได้ในราคาที่เหมาะสมและยังมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ทุกวันนี้บรรจุภัณฑ์สินค้าใหม่ของPhoenix Lava ใช้บริการ Dezpax แทบทั้งสิ้น

 

สร้างรายได้จากสิ่งที่มี

“ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ควรสร้างรายได้จากสิ่งที่มีก่อน ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์หรือทักษะความสามารถ ขณะเดียวกันต้องไม่เพิ่มค่าใช้จ่าย และทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ ให้หลากหลาย

“ผมมองว่าคนที่ผ่านวิกฤติมาได้จะก้าวไปได้ไกล ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นโอกาสของธุรกิจขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอีที่จะเติบโต ขอเพียงแค่ปรับตัวให้รวดเร็วและรับมือกับวิถี New Normal ให้ทันท่วงที ความสำเร็จก็เกิดขึ้นได้ไม่ยากขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ”

SCGP สร้างการเติบโตกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารในระดับโลก เดินหน้าขยายกำลังการผลิตในไทยและเวียดนามรองรับการขยายตลาดต่างประเทศ

SCGP ขยายการลงทุนสร้างการเติบโตกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารรองรับเมกะเทรนด์ เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารอีก 1,838 ล้านชิ้นต่อปี รวม 2 โครงการใช้งบลงทุน 631 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตลาดต่างประเทศ

 

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์อาหารมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีปัจจัยจากพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ การบริโภคอาหารพร้อมรับประทาน การเลือกใช้บริการจัดส่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ถือเป็นเมกะเทรนด์ที่ส่งผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหาร โดยคาดว่าภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารพร้อมรับประทานในภูมิภาคอาเซียนในปี 2564-2567 จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี

 

SCGP ได้ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาด้วยฐานผลิตในประเทศไทยและมาเลเซีย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป รองรับตลาดในภูมิภาคอาเซียนและประเทศญี่ปุ่น และในมกราคมที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายการลงทุนนอกภูมิภาคอาเซียน โดยเข้าลงทุนร้อยละ 100 ใน Go-Pak UK Limited (Go-Pak) เพื่อเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งด้านการผลิต และสามารถขยายฐานลูกค้าทั่วโลก

 

ล่าสุด SCGP ได้เดินหน้าขยายการลงทุนอีก 2 โครงการเพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารในระดับโลก โดยขยายกำลังการผลิตของบรรจุภัณฑ์อาหารจากกระดาษ เพิ่มขึ้น 1,615 ล้านชิ้นต่อปี ที่โรงงานจังหวัดราชบุรี และโรงงาน Binh Duong ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้

 

ขณะเดียวกันได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตในธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารจากเยื่อธรรมชาติ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 223 ล้านชิ้นต่อปี ที่โรงงานจังหวัดกาญจนบุรี โดยคาดว่าจะเริ่มเดินดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2565  ทั้งนี้ การลงทุนขยายกำลังการผลิตทั้ง 2 โครงการด้วยเงินลงทุนทั้งสิ้น 631 ล้านบาท จะเพิ่มศักยภาพด้านการผลิตเพื่อรองรับการขยายตลาดและความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ

 

“การขยายกำลังการผลิตนี้ จะทำให้บริษัทมีรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 35 จากกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งในประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศเวียดนาม รองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจ        บรรจุภัณฑ์อาหารทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียน” นายวิชาญ กล่าว

SCGP ต่อยอดความสำเร็จตลาดอินโดนีเซีย ขยายการลงทุนบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำใน Intan Group รับการเติบโตในอาเซียน

SCGP ขยายการลงทุนบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย โดยลงนามในสัญญาซื้อหุ้นร้อยละ 75 ใน Intan Group หนึ่งในผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกที่มีฐานธุรกิจใน 4 จังหวัดหลัก ต่อยอดความสำเร็จจากการลงทุนในธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ก่อนหน้านี้ เสริมศักยภาพและบูรณาการธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร

 

 นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางกลยุทธ์ขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน เพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จากการขยายฐานธุรกิจและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในภูมิภาค โดยมองว่า การขยายบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจแบบบูรณาการของบรรจุภัณฑ์

 

ทั้งนี้ อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีศักยภาพจากประชากรที่มีจำนวนกว่า 270 ล้านคน สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน บริษัทฯ จึงขยายการลงทุนในอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2556 ปัจจุบันมีบริษัทย่อย 5 บริษัท ได้แก่ PT Fajar Surya Wisesa Tbk., PT Dayasa Aria Prima (บริษัทย่อยของ Fajar), PT Primacorr Mandiri, PT Indorcorr Packaging Cikarang  และ PT Indoris Printingdo ที่เป็นฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูก 2 แห่ง โรงพิมพ์สำหรับบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูก 1 แห่ง และโรงงานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ 2 แห่ง ในปี 2563 รายได้จากการขายในอินโดนีเซีย เท่ากับ 17,577 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.94 ของรายได้จากการขายรวม

 

โดยหลังจากเข้าไปลงทุน บริษัทฯ ได้ร่วมมือเป็นพาร์ทเนอร์ขยายธุรกิจ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ และรวมผนึกพลัง เช่น การลดต้นทุนทางการเงิน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และในไตรมาสแรกปี 2564 บริษัทฯ ได้เริ่มเดินเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ของกระดาษบรรจุภัณฑ์ ส่วนการดำเนินงานใน PT Primacorr Mandiri, PT Indorcorr Packaging Cikarang  และ PT Indoris Printingdo บริษัทฯ ได้ประสานความร่วมมือแบบบูรณาการกับธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน ลดของเสีย พัฒนาระบบไอที และนำนวัตกรรม Lightweight G Technology ของ SCGP เข้าไปใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์

 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในอินโดนีเซีย โดยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาเข้าถือหุ้นร้อยละ 75 ใน PT Indonesia Dirtajaya Aneka Industri Box, PT Bahana Buana Box และ PT Rapipack Asritama (รวมเรียกว่า Intan Group) ผ่าน TCG Solutions Pte. Ltd. ที่ถือหุ้นทั้งหมดโดย บริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด (TCG) ใน SCGP และคาดว่าจะดำเนินการควบรวมกิจการแล้วเสร็จภายในกลางปี 2564

 

Intan Group เป็นหนึ่งในผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกในอินโดนีเซียซึ่งดำเนินธุรกิจในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ 4 แห่ง ได้แก่ Surabaya, Semarang, Bekasi และ Minahasa โดยมีฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหาร เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ทั้งที่เป็นบริษัทข้ามชาติและกิจการภายในประเทศ ในปี 2563 Intan Group มีรายได้ 1,329 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3,057 ล้านบาท)

 

สำหรับการขยายการลงทุนในอินโดนีเซียครั้งนี้เพื่อรองรับการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน เพิ่มศักยภาพการนำเสนอบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย และสามารถส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างธุรกิจที่บริษัทฯ เข้าไปลงทุนใหม่กับธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์ที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบันด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มจากฐานลูกค้าร่วม นอกจากนี้ บริษัทฯ สามารถนำเสนอบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย ร่วมกับการนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละราย พัฒนาสินค้าที่เป็นนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มศักยภาพด้านการเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน

Doozy Pack : Data-Driven Business Approach That Fulfill Customers’ Needs

Three Doozy Pack members, who have different job responsibility, are here with us today to reveal how they have tackled the challenge.

 

“I am an AE also, I double as a manager. For our B2C model, we embrace the ‘Complete & Easy Set’. In other words, we are a one-stop shop for consumers. Staff at shops have also helped with gathering customers’ opinions or the voice of customers. If customers expected us to have something and we had not yet had that, we would try to prepare it for customers next time.”

 

“COVID-19 crisis posed the most challenging time. We decided to close our shops for staff’s safety, even though our staff were really keen to work. When the crisis eased enough for reopening, we had to prepare protective equipment such as plastic partitions and alcohol gel.

We chose to experiment our equipment with one shop first. When our approach worked fine, we started applying the same thing to other shops too. We have realized that teamwork makes the impossible possible.

 

“When we plan any change, we will communicate and discuss with our staff first. I have paid attention to my team and their work environment. But at the same time, I have emphasized that they must get close to customers and gather customer data. B2C shops give opportunities for us to understand end-consumers. The opinions of end-consumers are useful to business and product development of Doozy Pack. When we run a shop, we need to ensure our physical space generates maximum revenue.

 

“As my current mission is relatively new at SCGP, I am under much pressure. Sometimes, I feel burnt out. I have learnt from and got stronger because of my new job responsibility. We need to have fun beating all challenges. That’s how to motivate ourselves.”

Natsinee Chaocharoenphong

Doozy Pack Shop Manager

 

 

“I am an AE responsible for Doozy Pack’s e-commerce, taking care of both our own platform and Consignment Platforms like Shopee and Lazada. My responsibility covers website display, backdoor operations, as well as advertising efficiency on Facebook and LINE. Simply put, I take charge of every online activity.

 

“Before this, I had worked as a packaging designer for five years. But I’ve decided to jump to the sales field. With my new job responsibility, I have learnt more to understand everything backdoor to ensure front operations run smooth.

 

“Thanks to COVID-19, we have had greater opportunities in communicating with customers and making them aware of our delivery services. As awareness grows, we also need to prepare efficient delivery-service management. If we have proper response, We need to settle any dispute before it blows up online. Call them, talk to them, appease them and make sure problems will not recur.

 

“Communications are very important to our job. If any wrong message is sent out, we quickly correct it no matter how small the mistake is.”

 

“I am always curious as to whether I have done the right thing or if I could have done better. I am also trying hard to look at things from a customer’s perspective. I seriously pay attention to the voice of customer too. Today, everything happens fast. So, we need to act fast as well. If we stumble, stand up quickly. If data confirms we need to change something, act on it. Don’t wait. When we first developed Lite Box, we found that our product was rather expensive. Only after we lowered the specifications of materials involved, can we introduce the products that can compete in the market. When we have an impressive product variety, our customer base naturally expands too. Our product variety is achieved because we keep innovating based on data we have received.”

 

Nantipat Limbasuta

Account Executive –

E-commerce & Retail Solution

 

“I am in charge of everything at the shop. Challenges are everywhere, but the most challenging of all is customer care. There are various types of customers. Some customers do not even know their needs. When handling such customers, we have to listen very attentively and then present easy-to-understand advice.”

 

“My mindset is rooted in my liking. I personally love sales and services-related jobs. So, when I am here with a good supervisor and team, I am happy heading to my shop. At work, I am not just a salesperson. I am also a thinking partner for my customers. For example, although we have nearly 20 box sizes, our products may not perfectly fit all products customers have. So, we may have to help them with some creative solutions because smaller boxes mean a lower logistics cost, etc. When I am assigned to help another branch, I also learn new things. Each shop has different strengths. When I see their strengths, I come back and apply what are good to my shop too. After work on each day, I keep asking myself how I can work better tomorrow.”

 

Thaweeshok Kontrong

Doozy Pack – Shop Assistant Manager

 

 

 

 

Note: Photos were taken before the introduction of measures to control COVID-19 outbreak.

 

 

SCGP and Jones’ Salad serve Healthy Food with Green Heart

Many of you must have been familiar with the face of a kind-looking mustached uncle with a green scarf around his neck these days. His face, after all, appears at several shopping malls or on top of Facebook as the mascot of Jones’ Salad. The brand’s founder Mr. Ariya “Klong” Kumpilo, has embraced social media and new business concept in creating not just brand awareness but also customer engagement.

 

Turning Point in Life behind Business Idea

Not long after his graduation, Mr. Ariya needed urgent surgery to remove an orange-sized tumor. Although it was not malignant, it marked a turning point in his life.

 

“I started becoming health-conscious,” he recounted, “Because eight or nine years ago, it was not at all easy to find organic vegetables. I wanted to start offering healthy choices to consumers myself.”

 

His idea became clearer after his girlfriend went to Australia to further her studies and talked about her uncle-in-law Uncle Jones’ tasty salad dressings. “I even flew to Australia to learn how to make dressings from Uncle Jones. While there, I realized that healthy food had already been a growing trend among Australians at that time. So, I came back to Thailand and applied what I had learnt from Australia,” Mr. Ariya continued.

 

Attention to Customers’ Voice, Focus on Quality, Promoting Engagement

Jones’ Salad opened its first outlet in 2012, around the time health trends started catching on in Thai society. In a bid to win Thai customers’ hearts, Mr. Ariya created Thai flavors of dressings such as seafood dressing and holy basil dressing.

 

“I want to present something that consumers can enjoy every day.  There are 15 dressing choices at Jones’ Salad today. While our signature dressings are always available, our new dressings may stay on or be cancelled. It depends on customers’ feedback,” Mr. Ariya explained.

At present, Jones’ Salad has 16 branches in Bangkok and adjacent provinces. Its target groups are city people who care about their health, control their calorie intake, and go to gyms regularly.

 

“The most important thing about a food brand is consistency. Every dish must have the same standard. To uphold the standard, we need to train our staff well and strictly procure chemical-free ingredients,” Mr. Ariya added.

 

In addition to listening to customers’ feedback, Jones’ Salad has also delivered health content and promotions to customers via its mascot and Facebook page.

 

“During the first two years, I did everything on my own to get close to customers,” Mr. Ariya revealed, “Via our social-media page, consumers can have Jones’ Salad experiences even though they have not yet come to our outlet. Facebook has raised our brand awareness and recognition. After consumers notice us on social media, there is a higher chance they will try our product if they see our outlet.”

 

Thinking Partner for Together Growth

“Many customers sent us a message on Facebook to inform us that they bought our products every day but felt guilty about all the plastic boxes that contained our salads/dressings. Because of their feedback, we reconsidered paper packaging – something we initially thought too expensive,” Mr. Ariya disclosed.

 

“After SCGP listened to our requirements, it has created very impressive packages for us. They are exactly what Jones’ Salad wants. Each box has the right height, with a cup to hold dressings.

Veggies still look nice in these boxes, which can also be stacked on top of each other. Such durable packaging is perfect for deliveries too. Most important of all, such packaging is friendly to the environment. After we switched to SCGP packaging, our customers are happy,” he continued.

 

“I am also happy because SCGP delivers really good services and solutions. We intend to seek SCGP support in the future, as we are looking for more types/sizes of packaging including round boxes,” Mr. Ariya concluded.

A good provider of packaging solutions must fully understand the needs of customers and keep improving to deliver increasingly better results, just like SCGP.

OptiSorbX : Innovative Packaging Preserves Tasty Food for You!

How good will it be if food taste prepared by manufacturers are well-preserved, with the help of packaging, till content reaches customers?

 

OptiSorbX by SCGP is here to provide the answer. Coming out of research and development process, it maintains the quality of fat-containing food items by reducing oxidation. Thanks to such innovation, the shelf life of foods extends. Packaged content will be slower in changing color or turning stale.

 

More effective in keeping out oxygen and vapor than normal packages, OptiSorbX is good for packaging dried and intermediate-moisture food such as baked items, nuts, dried fruits, cheeses, and smoked meat.

 

Both resellers and end-consumers will be able to keep foods longer, because OptiSorbX keeps the original taste, color, and flavors of packaged content for a relatively long time while inhibiting bacterial growth. COCO NEAT, a brand of our valued customer, has now embraced OptiSorbX to ensure its coconut products’ quality and deliciousness for consumers.

 

Note: Shelf-life extension varies, depending on types of content and storage conditions.